วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph <p>วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ(Thai Journal of Public Health and Health Sciences; TJPHS) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและผลงานวิจัยทางด้านสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ ขอบเขตของวารสารครอบคลุมในสาขาต่าง ๆ ได้แก่ นโยบายสุภาพและการจัดการการดูแลสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพ สุขศึกษา พฤติกรรมสุขภาพ อาชีวอนามัย อนามัยสิ่งแวดล้อม พิษวิทยา สาธารณสุขชุมชน ทันตสาธารณสุข เภสัชสาธารณสุข การพยาบาล และสาขาสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์การแพทย์ สนับสนุนโดย คณะสาธารณสุขศาสตร์และสหเวชศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข</p> th-TH <p>บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารสาธารณสุข</p> tjph-editor@scphtrang.ac.th (ผศ.ดร.ภก.พยงค์ เทพอักษร) wiphawan@scphtrang.ac.th (นางสาววิภาวรรณ แก้วลาย) Tue, 30 Sep 2025 15:53:33 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สถานการณ์การจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจพัฒนาการวัยรุ่นเชิงบวก ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/275728 <p> การวิจัยนี้ครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจพัฒนาการวัยรุ่นเชิงบวก ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนแม่ลาน้อยดรุณสิกข์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน การวิจัยเชิงปริมาณมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียน ม.1–ม.3 จำนวน 352 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ ครู ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และนักเรียน สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ และร้อยละ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่าภาพรวมของพัฒนาการวัยรุ่นมีค่าคะแนนเฉลี่ยรวมของพัฒนาการวัยรุ่นเชิงบวกเพิ่มขึ้นตามระดับชั้น ม.1: เฉลี่ย 2.47 ม.2: เฉลี่ย 2.89 ม.3: เฉลี่ย 3.23 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า (1) โรงเรียนมีศักยภาพในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุกมิติ โดยเฉพาะการใช้กิจกรรมท้องถิ่นและสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน (2) รูปแบบ “7C–Maela Youth Positive Development Model” ที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ Competence, Confidence, Connection, Character, Caring, Contribution และ Critical Consciousness สามารถประยุกต์กับบริบทและกิจกรรมในโรงเรียนได้อย่างเหมาะสม (3) ผลการประเมินรูปแบบพบว่า นักเรียนมีพัฒนาการเชิงบวกเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะความสามารถในการเรียนรู้ การสื่อสาร และการคิดเชิงวิพากษ์</p> ธณัชช์นรี สโรบล, กัลยกร พรหมคำ, โยธิน บุญเฉลย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/275728 Wed, 15 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์เอลฟากลูโคสิเดสของตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านรักษาโรคเบาหวาน โดยหมอจิตร บุญเลื่อง อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/273216 <p style="font-weight: 400;"> โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus, DM) เป็นกลุ่มโรคเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหารเนื่องจากร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอหรือมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หนึ่งในวิธีการรักษาโรคเบาหวาน ได้แก่ การลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยการยับยั้งเอนไซม์ย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น แอลฟากลูโคสิเดส (α-glucosidase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร โดยหมอจิตร บุญเลื่อง เป็นหมอพื้นบ้านอำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง เป็นหมอพื้นบ้านที่มีประสบการณ์ด้านการรักษาโรคเบาหวานมากกว่า 20 ปี โดยตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน ประกอบด้วยสมุนไพร 7 ชนิด ดังนี้ ช้าพลู อินทนิลน้ำ ขลู่ หนวดข้าวโพด หัวเต่ารั้ง กรดน้ำ และ กระแตไต่ไม้งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์เอลฟากลูโคสิเดสของสารสกัดตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานของหมอจิตร บุญเลื่อง โดยทำการสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ เมื่อศึกษาฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ด้วยวิธี DPPH assay (2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl) และวิธี α-Glucosidase inhibitory assay ผลการทดสอบพบว่า วิธี DPPH assay สารสกัดน้ำตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานทำให้อนุมูลอิสระลดลงร้อยละ 50 (IC<sub>50</sub>) เท่ากับ 10.31 ± 0.01 μg/ml สารสกัดเอทานอลตำรับสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานทำให้อนุมูลอิสระลดลงร้อยละ 50 (IC<sub>50</sub>) เท่ากับ 16.71 ± 0.01 μg/ml และวิธี α-Glucosidase inhibitory assay สารสกัดน้ำตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานสมุนไพรรักษาปฏิกิริยาได้ร้อยละ 50 (IC<sub>50</sub>) เท่ากับ 79.17 ± 0.01 μg/ml และสารสกัดเอทานอลตำรับสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานสามารถยับยั้งปฏิกิริยาได้ร้อยละ 50 (IC<sub>50</sub>) เท่ากับ 70.32 ± 0.94 μg/ml จากงานวิจัยในหลอดทดลองครั้งนี้สรุปได้ว่า สารสกัดจากตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคเบาหวาน มีศักยภาพในการนำมาศึกษาต่อเพื่อที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมสุขภาพร่างกายได้</p> เจษฎา อุดมพิทยาสรรพ์, นันฑิจพร พวงแก้ว, วรัญญา อรุโณทยานันท์, กนกวรรณ เอื้อเจริญ, เอมพิกา อุดมพิทยาสรรพ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/273216 Wed, 15 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษารวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับยาดองตามตำราการแพทย์แผนไทย https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/276305 <p> การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับยาดองที่ปรากฏในตามตำราการแพทย์แผนไทย โดยใช้วิธีวิจัยเอกสาร (Documentary Research) จากเอกสารตำราการแพทย์แผนไทย จำนวน 17 รายการ ครอบคลุมนิยาม สรรพคุณ ส่วนประกอบและน้ำกระสายของยาดอง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) นิยามของยาดอง คือ ยาที่ปรุงโดยการนำตัวยาซึ่งมีทั้งตัวสด ยาแห้ง สับเป็นชิ้นหรือบดเป็นผงหยาบไปแช่ หมัก ดอง ในน้ำกระสาย เช่น น้ำท่า สุรา แล้วรินน้ำกิน 2) สรรพคุณของยาดอง จากสูตรตำรับยาดองทั้งหมด 196 ตำรับ พบว่าเป็นตำรับยาดองที่มีสรรพคุณรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วย 182 ตำรับ ครอบคลุม 50 โรค/อาการ และมีสรรพคุณสำหรับการบำรุงสุขภาพ 14 ตำรับ 3) ส่วนประกอบของยาดองมี 468 รายการ ประกอบด้วย พืชวัตถุ 410 ชนิด สัตว์วัตถุ 34 ชนิด ธาตุวัตถุ 24 ชนิด และน้ำกระสายที่ใช้ดองยามีทั้งน้ำกระสายยาเดี่ยว 16 ชนิด และน้ำกระสายหลายชนิดผสมกันตั้งแต่ 2-7 ชนิด จำนวน 11 ชุด สรุปได้ว่ายาดองเป็นรูปแบบการปรุงยาไทยโบราณที่ใช้เพื่อรักษาโรคและส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้จะเป็นฐานข้อมูลความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ยาดองเพื่อการดูแลสุขภาพต่อไปในอนาคต</p> กฤษดา ศรีหมตรี, ปิณิดา ถนอมศักดิ์, รุสนี มามะ, สายฝน สมภูสาร, จินตนา นันต๊ะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/276305 Wed, 15 Oct 2025 00:00:00 +0700 การศึกษามูลค่า รายการ และปริมาณของยาเหลือใช้ในผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง: พื้นที่รับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนร่วมใจ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/274374 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา มูลค่า รายการ และปริมาณของยาเหลือใช้ในผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง พื้นที่รับผิดชอบของศูนย์สุขภาพชุมชนร่วมใจ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง จำนวน 273 คน เก็บข้อมูลระหว่าง พฤศจิกายน-ธันวาคม 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถาม 2 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และส่วนที่ 2 แบบสอบถามมูลค่ารายการและปริมาณของยาเหลือใช้ในผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โดยผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามทั้งชุดมีค่าความตรงเท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณณา ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 56.4 อายุ 61 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 36.3 อาศัยอยู่หมู่ 11 คิดเป็นร้อยละ 31.1 ระดับการศึกษา พบว่าต่ำกว่าหรือเท่ากับประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 52.4 การรักษาเป็นสิทธิบัตรทอง มีจำนวน คิดเป็นร้อยละ 68.9 โรคร่วมมีโรค 1 โรค คิดเป็นร้อยละ 49.8 การอ่านฉลากได้ คิดเป็นร้อยละ 80.6 สาเหตุยาเหลือใช้ผู้ป่วยลืมรับประทานยามีจำนวนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.9 กลุ่มตัวอย่างที่มียาเหลือใช้ จำนวน 21 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งหมด 10,932 บาท โดยมีมูลค่าเฉลี่ยคิดเป็น 40.04 บาทต่อราย ข้อค้นพบที่สำคัญพบว่า มูลค่ายาเหลือใช้ 3 อันดับแรก ที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ Amlodipine (มูลค่า 3,428 บาท) Simvastatin (มูลค่า 1,563 บาท) และ Losartan (มูลค่า 1,281 บาท) ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่ารายการของยาเหลือใช้ 3 อันดับแรก ที่มีปริมาณเหลือมากที่สุด ได้แก่ Amlodipine (2,617 เม็ด) Metformin (2,084 เม็ด) และ Simvastatin (2,083 เม็ด) ตามลำดับ</p> ปิยธิดา ธิกันทา, ญาณิกา เปอะปิน, อรพินธุ์ เพียรรุ่งเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์สุขภาพ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjph/article/view/274374 Wed, 15 Oct 2025 00:00:00 +0700