https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/issue/feed วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา 2025-10-08T22:53:40+07:00 ผศ.ดร.ภคิน ไชยช่วย (Asst.Prof.Dr.Pakin Chaichuay) tjphe_editor@scphub.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา</strong><strong><br />ISSN 2985-251X (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong><strong> <br /></strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษาเป็นวารสารรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความทางวิชาการ</p> <ul> <li>ด้านการสาธารณสุข (Public Health)</li> <li>วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Sciences)</li> <li>ด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior)</li> <li>ด้านสุขภาพศึกษา (Health Education)</li> <li>ด้านทันตสาธารณสุข (Dental Public Health)</li> <li>ด้านการพยาบาล (Nursing)</li> </ul> <p><strong> ประเภทของบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>ภาษาไทย (Thai)</li> <li>ภาษาอังกฤษ (English)</li> </ul> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ ปีละ </strong><strong>3 ฉบับ</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (January-April)</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (May-August)</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (September-December)</li> </ul> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> <li>บทความวิชาการ ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความ</strong></p> <p>1. บุคคลภายใน (สังกัดวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี) บทความละ 2,500 บาท</p> <p>2. ศิษย์เก่าวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี บทความละ 3,000 บาท</p> <p>3. บุคคลภายนอก บทความละ 3,500 บาท</p> <p><strong> ***<em>กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิปฎิเสธการตีพิมพ์ หรือกรณีที่ผู้เขียนบทความขอยกเลิกบทความ หลังจากบทความเข้าสู่กระบวนการ Review ส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแล้ว***</em></strong></p> <p><strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมบทความ</strong></p> <p>1) กองบรรณาธิการ แจ้งให้ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ หลังจากที่บทความผ่านกระบวนการปรับแก้เบื้องต้น (Pre review) แล้ว</p> <p>2) ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ชำระค่าธรรมเนียม</p> <p><strong>ชื่อบัญชี</strong> <strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา ร่วมกับชมรมศิษย์เก่า<br />ธนาคารกรุงไทย ประเภท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 662-5-XXXXX-X</strong> </p> <p>3) ส่งหลักฐานการโอนเงินในระบบของวารสารมายังช่อง Add Discussions</p> <p>4) กองบรรณาธิการ ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียม</p> <p>5) กองบรรณาธิการ นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Review)</p> <p>6) กองบรรณาธิการ ออกใบเสร็จรับเงินส่งให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในระบบของวารสาร</p> <p>7) กองบรรณาธิการ ส่งใบเสร็จรับเงินฉบับจริงให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในกรณีที่แจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น</p> <p><strong>ขั้นตอนการประเมินบทความ</strong></p> <p>1. กองบรรณาธิการกลั่นกรองบทความหลังจากที่บทความส่งเข้ามายังระบบของวารสาร<br />2. แจ้งผู้เขียนบทความให้ปรับแก้เบื้องต้น (Pre-Review) ตามรูปแบบที่วารสารกำหนด<br />2.1 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นแล้ว แจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมบทความ<br />2.2 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นไม่สมบูรณ์ แจ้งให้ผู้เนิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />2.3 กรณีผู้นิพนธ์ไม่ปรับแก้ ปฏิเสธการตีพิมพ์ <br />3. หลังจากที่ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมบทความแล้ว นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ (Review)<br />4. บทความที่ผ่านการประเมิน มีการปรับแก้ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือจนกว่าบทความจะสมบูรณ์ จึงเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่ตีพิมพ์<br />4.1 กรณีที่ปรับแก้บทความไม่สมบูรณ์ แจ้งผู้นิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />4.2 กรณีที่ไม่ปรับแก้บทความ ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ปฏิเสธการตีพิมพ์<br />5. วารสารออกหนังสือตอบรับการตีพิมพ์ หลังจากที่ผู้นิพนธ์ปรับแก้ไขบทความตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง<br />6. กระบวนการปรับแก้ไขบทความยังคงมีต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการ Copyediting และ Production<br />7. กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้นิพนธ์อ่านทบทวนบทความเป็นครั้งสุดท้าย และยืนยันการเผยแพร่บทความ เนื้อหาของบทความและความคิดเห็นในบทความทั้งหมดเป็นของผู้นิพนธ์แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ ทางกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบใดๆเกี่ยวกับความผิดพลาดของบทความนั้นๆ<br />8. บทความที่ได้รับจดหมายตอบรับตีพิมพ์แล้ว หากท่านไม่ปฎิบัติตามขั้นตอนของวารสาร หรือไม่ปรับแก้ไขบทความต่อเนื่องจนกว่าจะถึงกระบวนการก่อนการเผยแพร่ตีพิมพ์ หรือขาดการติดต่อกับกองบรรณาธิการวารสาร หรือหากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบภายหลังพบว่ากระบวนการวิจัยของท่านไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย จดหมายตอบรับตีพิมพ์นั้นถือว่าเป็นโมฆะ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์<br />9. บทความที่เผยแพร่ตีพิมพ์กับวารสารแล้ว หากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบพบว่ากระบวนการวิจัยไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย บทความดังกล่าวจะถูกถอนออกจากระบบของวารสาร ปฎิเสธการเผยแพร่ทันที</p> <p><strong>ประสานงานเกี่ยวกับวารสาร</strong> โทรศัพท์ 094-520-9823 และ 086-405-4053</p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1WA-npdQHi1bgCmvbfvsZJ5QGTYs3yyvq/view?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener"><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นตอนการพิจารณาและประเมินบทความ</span></a></p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276354 การเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างการสักยากับการนวดแบบราชสำนักต่อระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนบน 2025-07-21T10:27:50+07:00 รุ้งระวี รักษ์แดง rungrawit65@nu.ac.th <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi - experimental research) ชนิดศึกษาสองกลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง (Two group, pretest - posttest design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลระหว่างการสักยากับการนวดไทยแบบราชสำนักต่อระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนบน โดยใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 74 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 37 คน โดยมีเกณฑ์คัดเข้า ได้แก่ ผู้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมปลายปัตคาตสัญญาณ 4 และ 5 หลัง มีอายุ 20-65 ปี โดยกลุ่มทดลองได้รับการรักษาด้วยการสักยา กลุ่มควบคุมได้รับการรักษาด้วยการนวดไทยแบบราชสำนักเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินระดับความเจ็บปวด และแบบประเมินความพึงพอใจ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2568 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบผลของการสักยาและการนวดไทยแบบราชสำนักโดยใช้สถิติ Mann-Whitney U test และ Wilcoxon Signed-Rank Test โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังทำการรักษาด้วยการสักยามีคะแนนความเจ็บปวดน้อยกว่าก่อนทำการรักษา และมีคะแนนความเจ็บปวดน้อยกว่ากลุ่มนวดไทยแบบราชสำนักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มารับบริการมีความพึงพอใจต่อการสักยาในภาพรวมระดับมากที่สุด ดังนั้นการสักยาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับความเจ็บปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบน และสามารถใช้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมร่วมกับการนวดแบบราชสำนักในระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิต่อไป</p> <p> </p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276802 ผลของโปรแกรมการสนับสนุนข้อมูล และอารมณ์ผ่านแอฟพลิเคชั่นไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานท์ ต่อความรู้ และความสามารถในการเผชิญความเครียดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มีภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก 2025-08-08T20:55:58+07:00 พรพิมล ชัยสา Sakda.pram@gmail.com ศักดา เปรมไทยสงค์ sakda.pram@gmail.com สุดาวรรณ สันหมอยา Sakda.pram@gmail.com <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่มวัดซ้ำ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสนับสนุนข้อมูลและอารมณ์ผ่านแอฟพลิเคชั่นไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานท์ต่อความรู้และความสามารถในการเผชิญความเครียดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก ที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านคลอง จังหวัดพิษณุโลก ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2567 ถึง เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 จำนวน 66 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 33 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสนับสนุนข้อมูลและอารมณ์ผ่านแอฟพลิเคชั่นไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานท์ร่วมกับการดูแลตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ประเมินผลโปรแกรมจากความรู้ และความสามารถในการเผชิญความเครียดในผู้ป่วยโรคเบาหวานก่อนการทดลอง และหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 2 และ 4 วิเคราะห์ผลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน chi-square, independent t-test และ repeated measures ANOVA กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ <em>p</em>-value&lt;.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 72.70 และ 69.70 ตามลำดับกลุ่มควบคุมมีอายุเฉลี่ย 65.73 (S.D.=8.63) กลุ่มทดลองมีอายุเฉลี่ย 65.30 ปี (S.D.=8.84) หลังได้รับโปรแกรมค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ และค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการเผชิญความเครียดของกลุ่มทดลองภายหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 2 และ 4 สูงกว่าก่อนการทดลอง และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p-</em>value&lt;.001 ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการสนับสนุนข้อมูลและอารมณ์ผ่านแอฟพลิเคชั่นไลน์ออฟฟิเชียลแอคเคานท์ ช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276813 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันการติดเกมในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา 2025-09-08T15:31:56+07:00 ณิชกุล พิชาชาญ sombut.p@siu.ac.th สมบัติ ประทักษ์กุลวงศา sombut.p@siu.ac.th ศิริภัททรา จุฑามณี sombut.p@siu.ac.th ชไมพร จั่นจุ้ย sombut.p@siu.ac.th <p>การวิจัยเชิงบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันการติดเกมในนักเรียนระดับประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1–6 โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จำนวน 115 คน โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2565 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความเครียด ST-5 แบบทดสอบการติดเกม (GAST) และแบบวัดภูมิคุ้มกันการติดเกม ฉบับเด็ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่เล่นเกมออนไลน์มาแล้ว 1–2 ปี เฉลี่ยสัปดาห์ละ 4–6 ครั้ง ครั้งละ 4–5 ชั่วโมง ช่วงเวลาเล่นเกมมากที่สุดคือ 16.01–20.00 น. โดยเล่นที่บ้านหรือหอพักกับเพื่อน ใช้จ่ายต่อสัปดาห์ 51–100 บาท นิยมเล่นเกมแนวแอคชัน ต่อสู้ ยิงปืน เช่น Special Force และ PUBG จุดประสงค์หลักคือเพื่อความสนุกสนานและคลายเครียด พบว่า 33.05% มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเกมในระดับสูง ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันการติดเกม ได้แก่ เพศ ซึ่งพบว่าเพศชายมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมคลั่งไคล้และเสี่ยงติดเกมมากกว่าเพศหญิง อายุ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 8–9 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมคลั่งไคล้เกมมากกว่ากลุ่มอายุอื่น (r= .200, .237, p &lt; .05 ตามลำดับ) เกรดเฉลี่ย โดยนักเรียนที่มี GPA ระดับดี มักสามารถควบคุมพฤติกรรมการเล่นเกมได้ดีกว่ากลุ่มที่มี GPA ปานกลางถึงต่ำ (r= .673, p &lt; .001) และระดับความเครียด โดยนักเรียนที่มีความเครียดสูงมักพึ่งพาเกมออนไลน์เพื่อระบายอารมณ์ ส่งผลให้เสี่ยงต่อการติดเกมมากขึ้น (r= -.778, p &lt; .001) ที่น่าสังเกตคือ นักเรียนที่มีความเครียดสูงมีแนวโน้มที่จะมีการป้องกันตนเองจากการติดเกมต่ำ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันการติดเกม หรือโครงการลดความเครียดเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/275996 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานองค์กรแห่งความสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง 2025-07-27T10:42:19+07:00 เริงชัย สุขสิลา raengchaisuksila@gmail.com ศรุต มูลสาร newsoul.hp@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา และประเมินรูปแบบการดำเนินงานองค์กรแห่งความสุขของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง รวมถึงเปรียบเทียบผลลัพธ์ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานและความสุข 9 มิติของ Happinometer ของบุคลากรก่อนและหลังการดำเนินการพัฒนา ประชากรในการศึกษา คือบุคลากรสาธารณสุข 157 คน เก็บข้อมูลตั้งแต่กรกฎาคม–ธันวาคม 2567 การศึกษานี้ประยุกต์ใช้แนวคิดของ Kemmis &amp; McTaggart แบ่งกระบวนการศึกษาเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ ระยะที่ 2 แนวทางการสร้างความสุขในองค์กร และ ระยะที่ 3 ประเมินผล เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก 2. ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้แบบประเมินความสุข 9 มิติของ Happinometer 3. แนวทางการสร้างความสุข การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ส่วนข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ paired t-test</p> <p>ผลการศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 พบว่าความสุขคนทำงานอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 51.0 โดยองค์กรขาดนโยบายที่ชัดเจน กิจกรรมไม่ตอบโจทย์ และบุคลากรไม่มีส่วนร่วม ระยะที่ 2 พัฒนาแนวทางสร้างความสุขในองค์กรตามหลัก “9 มิติแห่งความสุข” ของ Happinometer และระยะที่ 3 พบว่า แนวทางการสร้างความสุขในองค์กรสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและการงานดี ขณะที่มิติการผ่อนคลาย จิตใจดี ครอบครัวดี และการเงินยังไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสภาพแวดล้อมการทำงานไม่แตกต่างก่อนและหลังการดำเนินงาน ข้อเสนอแนะ คือ ควรบูรณาการนโยบายด้านความสุขเข้ากับแผนยุทธศาสตร์องค์กร เช่น สุขภาพกายและการงานดี พร้อมปรับปรุงมิติที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ผ่อนคลาย จิตใจดี ครอบครัวดี สังคมดี การเงิน และติดตามประเมินผลรายปี เพื่อปรับแนวทางให้เหมาะสมกับพื้นที่ และบริบท</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/277258 การศึกษาประสิทธิผลลูกกลิ้งอิมัลชันตำรับยาทาพระเส้นในผู้ปวดหลังส่วนล่าง ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดคลองขวาง อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี 2025-10-08T22:53:40+07:00 บุญยวีร์ สุทธิธรรมสูง farsaiboonyawee.30@gmail.com พนาวัลย์ ทองคร่ำ panawan_tongkam@hotmail.com ชุติมา รัตติกาลธารา mm.chutimarat@gmail.com เบญจวรรณ พูนธนานิวัฒน์กุล kz018729@gmail.com ศราวุฒิ แพะขุนทด mm.chutimarat@gmail.com <p>วิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างของผู้มารับบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดคลองขวางก่อนและหลังใช้ลูกกลิ้งอิมัลชันตำรับยาทาพระเส้น 2) เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับความตึงตัวของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างของผู้มารับบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดคลองขวางก่อนและหลังใช้ลูกกลิ้งอิมัลชันตำรับยาทาพระเส้น กลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยกลุ่มตัวอย่างทาบริเวณหลังส่วนล่างที่ปวด วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นเวลา 7 วัน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) ลูกกลิ้งอิมัลชันตำรับยาทาพระเส้น 2) แบบประเมินอาการปวดโดยใช้วิธี Numerical rating scale (NRS) และแบบบันทึกความตึงตัวของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างโดยเครื่อง Digital WE Algometer ตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือโดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แอลฟาครอนบาคของแบบประเมินความพึงพอใจได้ค่าเท่ากับ 0.82 เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกรกฎาคม 2566 ถึง เดือนมีนาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ Paired t-test</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยระดับอาการปวดและคะแนนเฉลี่ยระดับความตึงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างก่อนและหลังการทดลอง ของกลุ่มตัวอย่างมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p &lt;0.05) จากผลการศึกษาพบว่า ลูกกลิ้งอิมัลชันตำรับยาทาพระเส้นมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปต่อยอดผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต</p> 2025-12-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276007 การเพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการชุดสิทธิประโยชน์การสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคที่ส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพผ่าน Telehealth เขตสุขภาพที่ 2 2025-07-14T14:04:10+07:00 ภารินี หงษ์สุวรรณ Paripary.ph@gmail.com ปิยพรรณ ตระกูลทิพย์ piyaphant65@nu.ac.th วันชนา จีนด้วง wanshana.cd@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนา ทดลองใช้ และประเมินผลรูปแบบ Telehealth เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการชุดสิทธิประโยชน์การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในเขตสุขภาพที่ 2 ดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การเข้าถึงบริการในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และกลุ่มผู้ปกครองเด็กอายุ 0-5 ปี จำนวน 14 คน ระยะที่ 2 พัฒนาและทดลองใช้ Telehealth กับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และกลุ่มผู้ปกครองเด็กอายุ 0-5 ปี จำนวน 27 คน และระยะที่ 3 ประเมินผลรูปแบบ Telehealth กับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และสามี จำนวน 6 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามการรับรู้สิทธิ ความตั้งใจ และความพึงพอใจ ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้แนวคำถาม การสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยภายในกลุ่มด้วยสถิติ Wilcoxon Signed-Rank Test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงประเด็น ผลการวิจัย ระยะที่ 1 พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีเจตคติเชิงบวกต่อบริการสุขภาพและสะท้อนว่าบุคคลในชุมชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขและครู มีอิทธิพลสำคัญต่อการเข้าถึงบริการ ระยะที่ 2 ได้พัฒนา “แอปพลิเคชันไลน์ MorAnamai” หลังการทดลองใช้ พบว่าการรับรู้สิทธิผ่าน Telehealth ของกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ (<em>p</em>=0.099) และกลุ่มผู้ปกครอง (<em>p</em>=0.700) ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้ความตั้งใจใช้บริการของกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ (<em>p</em>=0.001) และกลุ่มผู้ปกครอง (<em>p</em>=0.002) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระยะที่ 3 การประเมินผลรูปแบบ Telehealth พบว่า การพัฒนาควรยึดพฤติกรรมผู้ใช้ บริบทท้องถิ่น และเครือข่ายชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญ รูปแบบ Telehealth ที่พัฒนาขึ้นมีศักยภาพในการเพิ่มการเข้าถึงบริการชุดสิทธิประโยชน์การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ควรนำไปปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการเฉพาะ รวมทั้งพัฒนาต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนในการเข้าถึงบริการสุขภาพ</p> 2025-11-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/277018 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึก เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดตับ ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2025-08-28T15:18:39+07:00 กฤตภรณ์ ประกอบแสง krittapornprak@gmail.com ศรินรา ทองมี tsarinra@gmail.com อจิราวดี ราชมณี ajira1910@gmail.com เดือนเพ็ญ หมื่นสี Khaidow9@gmail.com ประกอบ สุดพาห์ prakobsudpa@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกในการผ่าตัดตับ พัฒนาและประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาล โดยบูรณาการแนวคิดการพัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์ของซูคัฟร่วมกับแนวคิดการส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัด (Enhanced Recovery After Surgery ;ERAS) และทฤษฎีความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของคิง ดำเนินการ 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และพัฒนาแนวปฏิบัติ ระยะที่ 2 ประเมินผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดตับ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) ผู้ป่วยผ่าตัดตับ 34 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 17 คน และกลุ่มควบคุม 17 คน 2) พยาบาลวิชาชีพ 78 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวหลังผ่าตัดตับ และ 2) แบบประเมินผลลัพธ์ ได้แก่ แบบประเมินการรับรู้ความเป็นไปได้ในการนำแนวปฏิบัติฯไปใช้ แบบประเมินระดับความพึงพอใจของพยาบาล แบบประเมินความปวด แบบประเมินการทำงานของลำไส้ และแบบบันทึกการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน Chi-square และ Independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ได้แนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการระงับความรู้สึกเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดตับ โดยผลการนำแนวปฏิบัติฯ ไปใช้ ในกลุ่มทดลองมีอาการปวดน้อยกว่า การทำงานของลำไส้และการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัดดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=-4.715, <em>p</em>&lt;.001) (t=3.711, <em>p</em>&lt;.004) (t=3.082, <em>p</em>&lt;.001) ตามลำดับ พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่เห็นว่ามีความเป็นไปได้ในการนำแนวปฏิบัติไปใช้ระดับมาก ร้อยละ 97.44 และมีความพึงพอใจในระดับมาก ร้อยละ 93.59 โดยแนวปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้เป็นมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยผ่าตัดตับเพื่อยกระดับคุณภาพบริการ ลดความคลาดเคลื่อน และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276293 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ของโรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขตและ เครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาญจนบุรี 2025-07-25T09:02:59+07:00 เอกสิษฐ์ ภูพิชฏาณัฏฐ์ Anuchitaeiou@gmail.com ณัฐนันท์ ภูพิชฏาณัฏฐ์ Nattanan.s2521@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่มีโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในเขตบริการของโรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขตและเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดกาญจนบุรี กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 150 ราย ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ข้อมูลสุขภาพ แบบประเมิน Barthel ADL Index และแบบประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (TGDS-30) วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา Chi-square test และ Fisher’s exact test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าความชุกของภาวะซึมเศร้าในกลุ่มตัวอย่างเท่ากับร้อยละ 48.00 ส่วนใหญ่มีภาวะซึมเศร้าอยู่ในระดับเล็กน้อยร้อยละ 34.67 ผู้สูงอายุร้อยละ 100 สามารถช่วยเหลือตนเองได้ตามเกณฑ์ Barthel ADL Index ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ อาชีพ (<em>p</em>=.002) โรคกระเพาะอาหาร (<em>p</em>=.047) โรคกล้ามเนื้อและข้อ (<em>p</em>=.011) โรคถุงลมโป่งพอง/หอบหืด (<em>p</em>=.018) ปัญหาการนอน (<em>p</em>&lt;.001) ความจำบกพร่อง (<em>p</em>=.003) ความลำบากในการรับประทานอาหาร (<em>p</em>=.002) ความลำบากในการเคลื่อนไหว (<em>p</em>=.023) การไม่เข้าร่วมกิจกรรมชุมชน (<em>p</em>=.001) การขาดรายได้ประจำ (<em>p</em>=.010) และการขาดการสนับสนุนทางจิตใจ (<em>p</em>&lt;.001) ผลการศึกษาสะท้อนว่าการคัดกรองสุขภาพจิตควรทำควบคู่กับการดูแลโรคเรื้อรังและควรบูรณาการมาตรการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคมในครอบครัวและชุมชน เพื่อป้องกันและลดภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ</p> 2025-10-09T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/276193 การพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. ของผู้สูงอายุ ที่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา 2025-08-02T16:29:15+07:00 นันท์นภัส ธนฐากร nunnaphat.eve@gmail.com ญาดา เรียมริมมะดัน Yada.rea@rru.ac.th วรพล แวงนอก worraphol18@outlook.co.th ชนะพล สิงห์ศุข aotechanapon@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. ของผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้วิจัยแบบผสานวิธี มี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. ประกอบด้วยการวิจัย 2 แบบ คือ 1) วิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างเป็นชั้นภูมิ ใช้แบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาและถดถอยพหุแบบขั้นตอน 2) วิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ดูแล ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข พยาบาล จำนวน 19 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า อธิบายข้อค้นพบ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพซึ่งพัฒนารูปแบบขึ้นจากระยะที่ 1 จัดกิจกรรม 12 สัปดาห์ ระยะที่ 3 ประเมินการใช้รูปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ วิจัยกึ่งทดลอง ชนิดสองกลุ่มวัดสองครั้งก่อนและหลังการทดลอง เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยการจับคู่กลุ่มตัวอย่างให้มีลักษณะใกล้เคียงกัน ได้แก่ กลุ่มทดลอง 30 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 30 คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าหลังการทดลองใช้รูปแบบ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. (<em>p</em>-value=.041) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กลุ่มเปรียบเทียบมีค่าเฉลี่ยคะแนนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ หลังทดลองไม่แตกต่างกับก่อนการทดลอง แสดงให้เห็นว่ารูปแบบสามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานวางแผนและเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส.</p> 2025-10-11T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี