วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe <p><strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา</strong><strong><br />ISSN 2985-251X (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong><strong> <br /></strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษาเป็นวารสารรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความทางวิชาการ</p> <ul> <li>ด้านการสาธารณสุข (Public Health)</li> <li>วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Sciences)</li> <li>ด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior)</li> <li>ด้านสุขภาพศึกษา (Health Education)</li> <li>ด้านทันตสาธารณสุข (Dental Public Health)</li> <li>ด้านการพยาบาล (Nursing)</li> </ul> <p><strong> ประเภทของบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>ภาษาไทย (Thai)</li> <li>ภาษาอังกฤษ (English)</li> </ul> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ ปีละ </strong><strong>3 ฉบับ</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (January-April)</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (May-August)</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (September-December)</li> </ul> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> <li>บทความวิชาการ ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความ</strong></p> <p>1. บุคคลภายใน (สังกัดวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี) บทความละ 2,500 บาท</p> <p>2. ศิษย์เก่าวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี บทความละ 3,000 บาท</p> <p>3. บุคคลภายนอก บทความละ 3,500 บาท</p> <p><strong> ***<em>กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิปฎิเสธการตีพิมพ์ หรือกรณีที่ผู้เขียนบทความขอยกเลิกบทความ หลังจากบทความเข้าสู่กระบวนการ Review ส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแล้ว***</em></strong></p> <p><strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมบทความ</strong></p> <p>1) กองบรรณาธิการ แจ้งให้ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ หลังจากที่บทความผ่านกระบวนการปรับแก้เบื้องต้น (Pre review) แล้ว</p> <p>2) ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ชำระค่าธรรมเนียมตามสังกัดข้างต้น</p> <p><strong>ชื่อบัญชี</strong> <strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา ร่วมกับชมรมศิษย์เก่า<br />ธนาคารกรุงไทย ประเภท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 662-5-42917-1</strong> </p> <p>3) ส่งหลักฐานการโอนเงินในระบบของวารสารมายังช่องทาง Review Discussions</p> <p>4) กองบรรณาธิการ ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียม</p> <p>5) กองบรรณาธิการ นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Review)</p> <p>6) กองบรรณาธิการ ออกใบเสร็จรับเงินส่งให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในระบบของวารสาร</p> <p>7) กองบรรณาธิการ ส่งใบเสร็จรับเงินฉบับจริงให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในกรณีที่แจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น</p> <p><strong>ขั้นตอนการประเมินบทความ</strong></p> <p>1. กองบรรณาธิการกลั่นกรองบทความหลังจากที่บทความส่งเข้ามายังระบบของวารสาร<br />2. แจ้งผู้เขียนบทความให้ปรับแก้เบื้องต้น (Pre-Review) ตามรูปแบบที่วารสารกำหนด<br />2.1 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นแล้ว แจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมบทความ<br />2.2 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นไม่สมบูรณ์ แจ้งให้ผู้เนิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />2.3 กรณีผู้นิพนธ์ไม่ปรับแก้ ปฏิเสธการตีพิมพ์ <br />3. หลังจากที่ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมบทความแล้ว นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ (Review)<br />4. บทความที่ผ่านการประเมิน มีการปรับแก้ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือจนกว่าบทความจะสมบูรณ์ จึงเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่ตีพิมพ์<br />4.1 กรณีที่ปรับแก้บทความไม่สมบูรณ์ แจ้งผู้นิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />4.2 กรณีที่ไม่ปรับแก้บทความ ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ปฏิเสธการตีพิมพ์<br />5. วารสารออกหนังสือตอบรับการตีพิมพ์ หลังจากที่ผู้นิพนธ์ปรับแก้ไขบทความตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง<br />6. กระบวนการปรับแก้ไขบทความยังคงมีต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการ Copyediting และ Production<br />7. กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้นิพนธ์อ่านทบทวนบทความเป็นครั้งสุดท้าย และยืนยันการเผยแพร่บทความ เนื้อหาของบทความและความคิดเห็นในบทความทั้งหมดเป็นของผู้นิพนธ์แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ ทางกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบใดๆเกี่ยวกับความผิดพลาดของบทความนั้นๆ<br />8. บทความที่ได้รับจดหมายตอบรับตีพิมพ์แล้ว หากท่านไม่ปฎิบัติตามขั้นตอนของวารสาร หรือไม่ปรับแก้ไขบทความต่อเนื่องจนกว่าจะถึงกระบวนการก่อนการเผยแพร่ตีพิมพ์ หรือขาดการติดต่อกับกองบรรณาธิการวารสาร หรือหากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบภายหลังพบว่ากระบวนการวิจัยของท่านไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย จดหมายตอบรับตีพิมพ์นั้นถือว่าเป็นโมฆะ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์<br />9. บทความที่เผยแพร่ตีพิมพ์กับวารสารแล้ว หากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบพบว่ากระบวนการวิจัยไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย บทความดังกล่าวจะถูกถอนออกจากระบบของวารสาร ปฎิเสธการเผยแพร่ทันที</p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1_GmAROdJbJVs3hkWje5W1JJb29oaNu_M/view?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener"><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นตอนการพิจารณาและประเมินบทความ</span></a></p> วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี th-TH วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา 2985-251X <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา (Thai Journal of Public Health and Health Education) เป็นลิขสิทธิ์ของ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี</p> ประวัติการทำงาน อาการระบบทางเดินหายใจ และสมรรถภาพปอดของผู้ประกอบอาชีพค้าขายแผงลอยริมถนน กรุงเทพมหานคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/269649 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ครั้งนี้ เพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพปอดระหว่างกลุ่มผู้ประกอบอาชีพค้าขายแผงลอยริมถนนกับกลุ่มเปรียบเทียบ และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพปอด กลุ่มตัวอย่างจำนวน 80 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบอาชีพค้าขายแผงลอยริมถนนและกลุ่มเปรียบเทียบเป็นผู้ที่ทำงานในอาคารปิด กลุ่มละ 40 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์และเครื่องสไปโรมิเตอร์สำหรับทดสอบสมรรถภาพปอด แบบสัมภาษณ์ผ่านการประเมินค่าความสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ ได้ค่าอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ในทุกข้อคำถาม และเครื่องสไปโรมิเตอร์ผ่านการสอบเทียบตามบริษัทผู้ผลิต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ทดสอบเปรียบเทียบด้วย Independent t test และทดสอบความสัมพันธ์ด้วย Chi square test แสดงค่า Odds Ratio (OR) เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบอาชีพค้าขายแผงลอยริมถนนเกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ จาม ไอ และคัดจมูก ร้อยละ 17.5 ร้อยละ 15.0 และร้อยละ 10.0 ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบพบว่า ผู้ประกอบอาชีพแผงลอยริมถนนมีสมรรถภาพปอดต่ำกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.05) และปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ เพศ อายุ การสูบบุหรี่ และระยะเวลาปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพปอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเพศชายมีความเสี่ยงสมรรถภาพปอดผิดปกติกว่าเพศหญิง 3.01 เท่า (OR=3.01, <em>p</em>=.029) ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ 5.06 เท่า (OR=5.06, <em>p</em>=.037) ผู้ที่มีประวัติทำงานมากกว่า 3 ปีมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มีประวัติทำงานน้อยกว่า 3 ปี 60.27 เท่า (OR=60.27, <em>p</em>=.001) และผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี มีสมรรถภาพปอดมากกว่ากลุ่มผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ร้อยละ 13.5 (OR=0.86, <em>p</em>=.045) การทำงานริมถนนมีผลต่อสมรรถภาพปอด ดังนั้นผู้ที่ประกอบอาชีพค้าขายควรลดปัจจัยที่สามารถป้องกันได้ ได้แก่ ลดหรืองดการสูบบุหรี่ และลดระยะเวลาการอยู่ริมถนนในช่วงระยะเวลาพัก</p> ณัฐจิต อ้นเมฆ บุตรี เทพทอง ชนพร พลดงนอก โยธิน พลประถม วราภรณ์ วรรณยะลา ฌาน ปัทมะ พลยง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-10-02 2024-10-02 4 3 e269649 e269649 คุณภาพชีวิตพระภิกษุสงฆ์ ในอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/267609 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิต และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับคุณภาพชีวิตของพระสงฆ์ในอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง 148 รูป เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ระหว่างเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติการทดสอบที และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่าพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นพระลูกวัด ร้อยละ 75.00 อายุเฉลี่ย 48.77 ปี จำนวน พรรษาเฉลี่ย 7.80 พรรษา ระดับการศึกษาแผนกสามัญสูงสุดประถมศึกษา ร้อยละ 24.32 ผ่านการศึกษาแผนกธรรมบาลีร้อยละ 58.78 และส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 81.08 มีภาพรวมคุณภาพชีวิตปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 80.41 คุณภาพชีวิตรายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับคุณภาพชีวิตปานกลาง มากที่สุด คือ ด้านสุขภาพกาย รองลงมาคือ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านจิตใจ และด้านสัมพันธภาพทางสังคม คิดเป็นร้อยละ 90.54, 79.73, 75.68 และ 70.27 ตามลำดับ นอกจากนี้ พระภิกษุสงฆ์ที่มีตำแหน่งหน้าที่ในวัด ช่วงอายุ การศึกษาแผนกสามัญ และการศึกษาแผนกธรรม/บาลีที่แตกต่างกัน มีคุณภาพชีวิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่มีพรรษาที่แตกต่างกัน และมีโรคประจำตัว คุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกัน จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้น หน่วยงานทางด้านสาธารณสุขควรจัดให้มีแนวทางในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพให้มีการดูแลตนเอง แนวทางการออกกำลังกายที่ไม่ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย รวมไปถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดี</p> วุฒิฌาน ห้วยทราย นิสา ปัญญา ธิราภรณ์ อุ่นแก้ว วชิราภรณ์ มนตรีวงษ์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-10-06 2024-10-06 4 3 e267609 e267609 ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการเรียนกับระดับความเครียดของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ในช่วงหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/268956 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยด้านการเรียนกับระดับความเครียดของนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ในช่วงหลังสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง ธันวาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 159 คน โดยใช้สูตรการคำนวณสูตรของ Wayne ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบ multistage random sampling แบ่งสัดส่วนตามระดับชั้นปีที่ศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p value &lt; .05 ผลการวิจัยพบว่า (1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 92.4 เกรดเฉลี่ย 2.51-3.00 ร้อยละ 59.1 มีภูมิลำเนาในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ร้อยละ 61.6 ส่วนใหญ่มีประวัติเคยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ร้อยละ 83.6 ปัจจัยด้านการเรียนโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (x ̅=2.58, S.D.=0.73) (2) ส่วนใหญ่มีความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 45.3 และ (3) ปัจจัยด้านการเรียนที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p value&lt;.05 ได้แก่ ปัจจัยด้านลักษณะการเรียนและสิ่งแวดล้อมในการเรียน บทบาทหน้าที่ของนักศึกษาในชั้นเรียน สัมพันธภาพกับอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นเรียน ความสำเร็จในภาระงานที่ได้รับมอบหมาย และปัจจัยด้านโครงสร้าง อุปกรณ์ และบรรยากาศในชั้นเรียน </p> จุฑามาศ แก้วจันดี วารี นันทสิงห์ สุภาพร พันโนฤทธิ์ บุญหลาย ไกรนพนม ธนะพัฒน์ ทักษิณทร์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-03 2024-11-03 4 3 e268956 e268956 การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอ่างทอง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/269244 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอ่างทอง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง คือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 30 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 40 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน 2566 ถึงมีนาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอ่างทอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Paired t-test และวิเคราะห์เชิงเนื้อหาของข้อมูล</p> <p>ผลการศึกษา พบว่ารูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น คือ SAWAENG HA MODEL ประกอบด้วย 1) S:School 2) A:Activity 3) W:Want 4) A:Acceptable 5) E:Ease 6) N: News 7) G:Guide 8) H:Handle และ 9) A:Achievement หลังเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดอ่างทอง คะแนนเฉลี่ยของความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอยู่ในระดับสูง (X ̅=35.55, S.D.=3.84) แตกต่างจากก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จะเห็นได้ว่ารูปแบบฯ มุ่งเน้นในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและความเข้าใจในบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างสุขภาพจิตในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งมีผลทำให้ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ผลการวิจัยดังกล่าวจะเป็นแนวทางในการสร้างเสริมความแข็งแรงและภูมิคุ้มกันในจิตใจของวัยรุ่นให้สามารถรับมือกับภาวะสุขภาพจิตในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> สมยศ แสงหิ่งห้อย ขุมทรัพย์ ก้อนทอง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-07 2024-11-07 4 3 e269244 e269244 กลยุทธ์การเสริมสร้างสมรรถนะด้านวิชาการและความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ สำหรับบุคลากร สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270326 <p>การวิจัยและพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากลยุทธ์การเสริมสร้างสมรรถนะด้านวิชาการและความก้าวหน้าในสายวิชาชีพสำหรับบุคลากร สังกัดสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองอุบลราชธานี (สสอ.) ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาบริบท (R1) 2) พัฒนากลยุทธ์ (D1) 3) ทดลองกลยุทธ์ (R2) 4) นำกลยุทธไปใช้ ประเมินผล ถอดบทเรียนและปรับปรุงกลยุทธ์ (D2) กลุ่มตัวอย่าง 1) การศึกษาบริบทฯ เป็นข้าราชการสาธารณสุข สังกัด สสอ. จำนวน 97 คน 2) การพัฒนากลยุทธ์ 2.1 กลุ่มตัวอย่างในการสร้างกลยุทธ์ฯ เป็นผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านวิชาการและการวิจัย และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 19 คน 2.2 ผู้เชี่ยวชาญประเมินกลยุทธ์ จำนวน 17 คน 3) การทดลองกลยุทธ์ การนำกลยุทธไปใช้ ประเมินผล ถอดบทเรียนและปรับปรุงกลยุทธ์ กลุ่มตัวอย่าง 50 คน เป็นข้าราชการ สสอ.เมืองอุบลราชธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) กลยุทธ์ฯ 2) แบบทดสอบความรู้ฯ 3) แบบประเมินความเหมาะสมและเป็นไปได้ของ กลยุทธ์ 4) แบบสอบถามสมรรถนะฯ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Paired Sample t-test และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การเสริมสร้างสมรรถนะด้านวิชาการและความก้าวหน้าในสายวิชาชีพของบุคลากรสาธารณสุข สังกัด สสอ. ประกอบด้วย 6 กลยุทธ์ คือ (1) ด้านการวิจัย นวัตกรรม และหลักฐานเชิงประจักษ์ (2) ความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ (3) การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล (4) ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (5) การพัฒนาผลงานทางวิชาการและการเผยแพร่ (6) ด้านการพัฒนาวิชาชีพและการจัดทำเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ กลยุทธ์ฯ มีความเหมาะสมและเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅=4.57, S.D.=0.23) 4) ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการวิจัย และสมรรถนะด้านวิชาการและความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ สูงกว่าก่อนการพัฒนากลยุทธ์ฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt; 0.001) ความพึงพอใจต่อกลยุทธ์ฯโดยรวมอยู่ในระดับมาก (X ̅=4.48, S.D.=0.32) ควรนำกลยุทธ์ไปเสริมสร้างสมรรถนะด้านวิชาการและความก้าวหน้าในสายวิชาชีพสำหรับบุคลากรสาธารณสุขต่อไป</p> นายอุทัย นิปัจการสุนทร Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-13 2024-11-13 4 3 e270326 e270326 ความชุกของผู้ป่วยที่สงสัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับในโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270436 <p>ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive sleep apnea: OSA) เป็นความผิดปกติที่นำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต การตรวจการนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นในการวินิจฉัยและแบ่งระดับความรุนแรงของภาวะ OSA ได้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีและลดอัตราการเสียชีวิต การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของภาวะ OSA และการวินิจฉัยโรคจากการตรวจการนอนหลับ รวมทั้งเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของภาวะ OSA ในผู้ป่วยที่มารับบริการในแผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า เก็บข้อมูลโดยวิธีการเก็บข้อมูลย้อนหลังจากประวัติการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ OSA เข้ารับการรักษาในแผนกโสต ศอ นาสิก ในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 61 ราย วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและข้อมูลปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะ OSA โดยใช้สถิติการวิเคราะห์แบบถดถอย</p> <p>ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีทั้งหมด 61 มีเพียง 20 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 32.8 ที่ได้รับการตรวจ การนอนหลับ และในจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจการนอนหลับส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ใช้สิทธิเบิกจ่ายตรง ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นพบว่า เพศชาย, อายุมากกว่าหรือเท่ากับ 50 ปี, ดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่า 35 kg/m², ความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท และโรคร่วมไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ .05 (p&lt;.05) จากการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การเข้าถึงการตรวจการนอนหลับของผู้ป่วยยังพบจำนวนน้อย เนื่องจากข้อจำกัดด้านหลักประกันสุขภาพที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าตรวจการนอนหลับของผู้ป่วยที่เห็นชัดเจน ส่วนปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นที่กล่าวมาข้างต้นไม่มีนัยสำคัญทางสถิติทำให้การตรวจการนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นที่แพทย์หรือบุคลากรทางแพทย์ต้องพิจารณาให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงทุกคนได้รับการตรวจการนอนหลับ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและเข้ารับการักษาภาวะ OSA ที่รวดเร็ว ดังนั้น ควรมีการขยายสิทธิหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการตรวจการนอนหลับและการสนับสนุนเครื่องมือที่ใช้ใน การตรวจการนอนหลับให้ทั่วถึง รวมทั้งการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค OSA และการตรวจการนอนหลับให้ประชาชนได้เข้าถึงมากขึ้น</p> อาทิตยา ฉิมเชื้อ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-13 2024-11-13 4 3 e270436 e270436 บทบาทและศักยภาพของครูผู้ดูแลเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270760 <p> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของบทบาทและศักยภาพในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กของครูผู้ดูแลเด็ก และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กของครูผู้ดูแลเด็ก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็ก อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 128 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน 2567 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า บทบาทในการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก อยู่ในระดับมาก (X ̅=2.86, S.D.=0.32) และศักยภาพครูผู้ดูแลเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย อยู่ในระดับมาก (X ̅=4.08, S.D.=0.64) สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ตัวแปรที่มีอำนาจพยากรณ์สูงที่สุดได้แก่ บทบาทในการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก (β=0.352, p&lt;.001) รองลงมา การรับรู้ความสามารถของตนเอง (β=0.182, p=.036) และน้อยที่สุด คือ ศักยภาพครูผู้ดูแลเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (β=0.230, p=.017) ตามลำดับ โดยร่วมกันทำนายการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ได้ร้อยละ 52.6 (R2=0.526) โดยใช้สมการพยากรณ์ คือ Y= a+b1x1+ b2x2+b3x3 ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคลากรทางการศึกษาควรให้ความสำคัญในบทบาทและศักยภาพของครูผู้ดูแลเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยสามารถนำผลการศึกษาที่ได้ไปส่งเสริมสนับสนุนบทบาทและศักยภาพของครูผู้ดูแลเด็ก ในด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง เพื่อให้ครูผู้ดูแลเด็กหรือผู้ช่วยครูผู้ดูแลเด็กหรือผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็กสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผลในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยต่อไป </p> วรรณลีรัตน์ งามเลิศ ธิติรัตน์ ราศิริ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-24 2024-11-24 4 3 e270760 e270760 ผลการใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลโดยมารดามีส่วนร่วมกระตุ้นการดูดกลืนต่อความสามารถในการดูดนมของทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,000 กรัม ที่มีปัญหาการดูดกลืน ตึกทารกป่วย โรงพยาบาลน่าน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/269880 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของมารดาในการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติการพยาบาล 3 ด้าน คือ การมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล การมีส่วนร่วมดูแลในกิจวัตรประจำวัน และการมีส่วนร่วมดูแลในกิจกรรมการพยาบาล และศึกษาเปรียบเทียบผลการเพิ่มรอบกระตุ้นดูดกลืนของทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,000 กรัม กับทารกที่ไม่ได้รับการเพิ่มรอบกระตุ้นดูดกลืน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม คือมารดาและทารกที่เข้ารับการรักษาระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ตึกทารกป่วย โรงพยาบาลน่าน กลุ่มทดลองได้รับการดูแลใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลโดยมารดามีส่วนร่วมนวดกระตุ้นการดูดกลืน วันละ 4 ครั้ง กลุ่มควบคุมพยาบาลนวดกระตุ้นการดูดกลืน วันละ 2 ครั้ง เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย แนวปฏิบัติการพยาบาลกระตุ้นดูดกลืนในทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยที่มีปัญหาการดูดกลืนโดยผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม มี 10 ขั้นตอน แบบบันทึกการมีส่วนร่วมของมารดา และแบบบันทึกปริมาณน้ำนมที่ให้ทางสายยาง เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองด้วย สถิติ Chi-square Test และ Mann-Whitney-U Test ผลการวิจัย พบว่ามารดามีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ระดับปานกลาง ร้อยละ 56.6 มีส่วนร่วมดูแลในกิจวัตรประจำวัน ระดับปานกลาง ร้อยละ 66.6 และมีส่วนร่วมดูแลในกิจกรรมการพยาบาล ระดับมาก ร้อยละ 66.6 จำนวนวันที่กินเองทางปากได้ทั้งหมดของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง (X =16.7, S.D.=10.0) และ (X =10.3, S.D.=5.8) ตามลำดับ และจำนวนวันที่ใส่สายยางให้อาหารของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง (X =16.4, S.D.=9.9) และ (X ̅=28.9, S.D.=18.7) ตามลำดับ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value&lt;.05) การมีส่วนร่วมของมารดาในการดูแลทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,000 กรัม ทำให้ทารกมีความสามารถในการดูดกลืนเพิ่มมากขึ้น</p> ภัสราวดี ศรีประเสริฐ เยาวภา พรมเสน สุภาพร วัฒนา Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-24 2024-11-24 4 3 e269880 e269880 ประสิทธิผลของศาสตร์การบ่งต้อด้วยหนามหวายในผู้ป่วยโรคต้อกระจก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/268096 <p>งานวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของศาสตร์การบ่งต้อด้วยหนามหวายซึ่งเป็นหัตถการทางการแพทย์พื้นบ้านไทยในผู้ป่วยโรคต้อกระจก ประเมินความเปลี่ยนแปลงของระดับสายตาข้างที่เป็น (Visual Measurement) โดยใช้แผนภูมิวัดสายตา Snellen chart ในผู้ป่วยโรคต้อกระจกที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลห้วยยอด จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล หนามหวาย และแบบบันทึกการประเมินระดับสายตา (Visual Measurement) ด้วยวิธีวัดระดับความสามารถในการมองเห็น (Visual acuity Test) และวิธีวัดระดับความสามารถในการมองเห็นด้วยแผ่นปิดวัดสายตา Pinhole (Pinhole test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยเปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการทดลองด้วย paired t-test ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;.05 ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 93.3 มีอายุระหว่าง 52-81 ปี ร้อยละ 43.3 มีอายุ 70 ปีขึ้นไป และมีระยะเวลาในการเป็นต้อกระจกอยู่ในช่วงมากกว่า 5 ปี ร้อยละ 43.3 ผลการทดสอบด้วยวิธี Visual acuity Test พบว่าก่อนการบ่งต้อด้วยหนามหวายผู้ป่วยส่วนใหญ่มีระดับความสามารถในการมองเห็น ที่แถว 1 VA=20/200 ซึ่งเป็นแถวที่มีตัวอักษรใหญ่ที่สุด โดยตาขวา และตาซ้ายอ่านได้ร้อยละ 33.3 และ 30.0 ตามลำดับ หลังการบ่งต้อด้วยหนามหวายมีระดับความสามารถในการมองเห็นเพิ่มขึ้นอ่านได้ที่แถว 8 VA=20/15 ซึ่งเป็นแถวที่มีตัวอักษรเล็กที่สุด โดยตาขวา และตาซ้ายอ่านได้ร้อยละ 43.3 และ 33.3 ตามลำดับ และจากผลทดสอบด้วยวิธี Pinhole test พบว่าหลังการบ่งต้อด้วยหนามหวายมีระดับความสามารถในการมองเห็นเพิ่มขึ้น ที่แถว 8 VA=20/15 ซึ่งตาขวาและตาซ้ายอ่านได้ร้อยละ 36.6 และ 23.3 ตามลำดับ แปลผลเทียบกับแผนภูมิวัดสายตา LogMAR พบว่า Visual Measurement มีค่า LogMAR ลดลง แสดงให้เห็นว่าการมองเห็นดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบค่าก่อนและหลังพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p&lt;.05</p> เรวัตร์ ส่งแสง วิลาวัณย์ เผือกชาย ศรินทร์รัตน์ จิตจำ กัญทร ยินเจริญ สิริรัตน์ เลาหประภานนท์ สินีนาฎ อารีกิจ วสันต์ หะยียะห์ยา ทิยานันท์ ปานิตย์เศรษฐ์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-01 2024-12-01 4 3 e268096 e268096 รูปแบบการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด สบช.โมเดล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/268642 <p>การวิจัยเชิงผสมผสานแบบขั้นตอนเชิงสำรวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและประเมินรูปแบบการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด สบช. โมเดล แบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) การสร้างรูปแบบการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด สบช.โมเดล ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 36 คน ซึ่งได้จากการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเอกพันธ์ เครื่องมือการวิจัย คือแนวทางการระดมสมอง ผู้วิจัย ผู้ช่วยวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการระดมความคิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลด้วยการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านผู้วิจัย และ 2) การประเมินรูปแบบการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด สบช.โมเดล ด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จำนวน 27 คน ซึ่งได้จากการคัดเลือกโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือแบบประเมิน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ภายใต้แนวคิด สบช.โมเดล ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ การเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบ พบว่า ด้านความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ และความถูกต้องครอบคลุมอยู่ในระดับมาก (X=3.92, S.D.=0.80)</p> รัชชานนท์ วันทาแก่น ธีรพล หล่อประดิษฐ์ ยุทธนา แยบคาย Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-01 2024-12-01 4 3 e268642 e268642 การศึกษาความถูกต้องของการรายงานผลการทดสอบความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด กับระบบการทวนสอบและรายงานผลแบบอัตโนมัติ ด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติทางโลหิตวิทยา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270525 <p>การวิจัยแบบย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และความสอดคล้องของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดด้วยเครื่องตรวจวิเคราะห์อัตโนมัติทางโลหิตวิทยา รุ่น CAL 6000 กับผลการอ่านสเมียร์เลือดโดยนักเทคนิคการแพทย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นตัวอย่างเลือดผู้ป่วยจำนวน 500 ตัวอย่าง ที่มีผลตรวจปกติในระบบการทวนสอบและรายงานผลแบบอัตโนมัติ และได้ทำการอ่านสเมียร์เลือดด้วยเครื่องอ่านสเมียร์เลือดอัตโนมัติและยืนยันผลการอ่านสเมียร์เลือดโดยนักเทคนิคการแพทย์เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ค่าร้อยละความสอดคล้อง และค่าร้อยละความจำเพาะสำหรับเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล ลิมโฟไซต์ โมโนไซต์ อีโอสิโนฟิล และเบโซฟิล รวมถึงค่าขนาดและรูปร่างของเม็ดเลือดแดง และจำนวนเกร็ดเลือดที่ตรวจพบในกระแสเลือด ผลการวิจัยพบว่าค่าร้อยละความสัมพันธ์ของนิวโทรฟิล ลิมโฟไซต์ อีโอสิโนฟิล และเกร็ดเลือด มีค่าระดับสูงที่ 0.86, 0.87, 0.82 และ 0.88 ตามลำดับ ส่วนค่าร้อยละความสัมพันธ์ของโมโนไซต์และเบโซฟิล มีค่าระดับปานกลางที่ 0.60 และ 0.37 ตามลำดับ ค่าร้อยละความสอดคล้องของนิวโทรฟิล ลิมโฟไซต์ โมโนไซต์ อีโอสิโนฟิล เบโซฟิล และขนาดและรูปร่างของเม็ดเลือดแดง คือ 100%, 100%, 97%, 100%, 99% และ 98.6% ตามลำดับ สำหรับค่าร้อยละความจำเพาะของนิวโทรฟิล ลิมโฟไซต์ โมโนไซต์ อีโอสิโนฟิล เบโซฟิล และขนาดและรูปร่างของเม็ดเลือดแดง คือ 100%, 100%, 98%, 100%, 99% และ 98.6% ตามลำดับ โดยค่าร้อยละความสอดคล้องและค่าร้อยละความจำเพาะมีค่ามากกว่าร้อยละ 95 และพบว่าจำนวนเกร็ดเลือดมีค่าร้อยละความแตกต่างกันตั้งแต่ -24% ถึง 24% ซึ่งไม่เกินร้อยละ 25 การวิจัยบ่งชี้ว่าห้องปฏิบัติการโลหิตวิทยามีระบบการทวนสอบและรายงานผลแบบอัตโนมัติที่มีความถูกต้องและน่าเชื่อถือได้ พร้อมทั้งมีเกณฑ์การคัดเลือกผลที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดระยะเวลารอคอยผลการตรวจวิเคราะห์ในกรณีที่ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดปกติได้ การวิจัยในกรณีที่มีความหลากหลายของค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดในโรคต่างๆ ควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของห้องปฏิบัติการโลหิตวิทยา</p> ศรัณย์ พิลาคง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-20 2024-12-20 4 3 e270525 e270525 การพัฒนารูปแบบบริการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉินจากโรงพยาบาลทั่วไป ไปยังโรงพยาบาลศักยภาพสูงกว่า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270946 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบบริการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน และศึกษาผลของรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างดำเนินการสุ่มแบบเจาะจงกับบุคลากรทางการพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน โรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จำนวน 80 คน เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัย ได้แก่ รูปแบบบริการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความคิดเห็นต่อรูปแบบ แบบประเมินความรู้ แบบสำรวจการปฏิบัติการพยาบาล แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบบันทึกอุบัติการณ์ความปลอดภัยของผู้ป่วย ผ่านการตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ที่ระหว่าง 0.87-1.00 และทดสอบค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.91, 0.90 และ 0.96 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired Samples t-test และ Fisher’s exact probability test ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบบริการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน ประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ ก่อนส่งต่อ ระหว่างส่งต่อ และระยะหลังส่งต่อ โดยรวมบุคลากรทางการพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉินส่วนใหญ่เห็นด้วยต่อรูปแบบที่พัฒนาขึ้น (X ̅=4.18, S.D.=0.37) ด้านผลลัพธ์หลังใช้รูปแบบ พบว่าบุคลากรทางการพยาบาล มีความรู้เกี่ยวกับการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน จากโรงพยาบาลทั่วไป ไปยังโรงพยาบาลศักยภาพสูงกว่า เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) สามารถปฏิบัติกิจกรรมการส่งต่อผู้ป่วยวิกฤติและฉุกเฉิน ถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80.00 เป็นร้อยละ 96.00 แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) อุบัติการณ์ความปลอดภัยของผู้ป่วยลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) และบุคลากรทางการพยาบาลมีความพึงพอใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมาก (X ̅=4.20, S.D.=0.27) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ช่วยพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถปฏิบัติงานของทีมบุคลากรทางการพยาบาลที่ปฏิบัติงานส่งต่อ ผู้ป่วยได้รับบริการทางการพยาบาลที่ปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิต</p> ศรีทุม คำดา ลินธร วัฒนลักษณ์ ถาวร ล่อกา กัญญ์ณพัชญ์ ศรีทอง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-20 2024-12-20 4 3 e270946 e270946 ปัจจัยคัดสรรที่มีความสัมพันธ์กับการลดความแออัดในห้องฉุกเฉินตามการรับรู้ของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 11 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271098 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยคัดสรรกับการลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน โดยปัจจัยคัดสรรประกอบด้วย นโยบายและระบบสนับสนุน อัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์ กลยุทธ์การจัดการกระบวนการไหลเวียนของผู้ป่วย การคัดแยกและการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพภายในทีมและกับผู้ป่วยและญาติ ศึกษาในพยาบาลวิชาชีพจำนวน 111 คนที่ปฏิบัติงานในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลระดับ ตติยภูมิ เขตบริการสุขภาพที่ 11 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน และมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคระหว่าง .837 ถึง .979 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยคัดสรรทั้งหมดมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับปานกลางกับการลดความแออัดในห้องฉุกเฉิน ตามการรับรู้ของพยาบาล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยอัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์มีความสัมพันธ์สูงสุด (r=.433) รองลงมาคือการคัดแยกและการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (r=.355) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (r=.355) นโยบายและระบบสนับสนุน (r=.354) และกลยุทธ์การจัดการกระบวนการไหลเวียนของผู้ป่วย (r=.314) ตามลำดับ ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ การปรับอัตรากำลังให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วย การพัฒนาประสิทธิภาพและความถูกต้องของระบบคัดแยกผู้ป่วย การพัฒนาระบบการสื่อสาร และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการข้อมูลผู้ป่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสูงสุด</p> เพียงโสม สุ่มประดิษฐ์ วรรณชนก จันทชุม Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-20 2024-12-20 4 3 e271098 e271098 ความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270281 <p>การวิจัยเชิงพรรณนา แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ นักศึกษาสาขาสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 169 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 แบบสอบถามประกอบด้วย 2 ส่วน คือ แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล และแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่าง ควอไทล์ Independent t-test และ Wilcoxon rank-sum test<br />ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 88.76 อายุเฉลี่ย 20 ปี ส่วนมากกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 1 ร้อยละ 31.36 และมีรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน 5,665 บาท (S.D.=2,241) ส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 95.86 นักศึกษาในสาขาสาธารณสุขศาสตรบัณฑิตมีความฉลาดทางอารมณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติในระดับสูง ร้อยละ 98.82 เมื่อเปรียบเทียบกับนักศึกษา สาธารณสุขชุมชน และ ทันตสาธารณสุข พบว่าความฉลาดทางอารมณ์ไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 การวิจัยนี้จะช่วยให้เข้าใจถึงศักยภาพด้านอารมณ์และความสามารถในการจัดการตนเองของนักศึกษาในแต่ละสาขา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาสาขาสอดคล้องกับคุณลักษณะเฉพาะของนักศึกษาในแต่ละสาขา และแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านอารมณ์ของนักศึกษาในสาขาวิชาที่ต่างกัน เพื่อเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ให้กับนักศึกษาอย่างเหมาะสม </p> ปิยะณัฐฏ์ จันทวารีย์ ชลิตา โคตรมหา ณัฐณิชา โสภาชัย วันเพ็ญ สมหอม ศุภชัย ยาณะเรือง อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร มณฑิรา จันทวารีย์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-21 2024-12-21 4 3 e270281 e270281 การศึกษาดัชนีการจัดการความปวดในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270810 <p>ปัญหาสำคัญในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอคือความปวด การจัดการความปวดที่เพียงพอส่งผลคุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น แต่ยังขาดการศึกษาเกี่ยวกับดัชนีการจัดการความปวดในมะเร็งศีรษะและคอ การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการความปวดในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ โดยใช้ดัชนีการจัดการความปวด (Pain Management Index: PMI) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ จำนวน 150 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ตามคุณลักษณะเกณฑ์การคัดเข้า ใช้แบบสอบถามความปวด Brief Pain Inventory (BPI) ฉบับภาษาไทย คุณภาพเครื่องมือวิจัยมีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.91 และค่าความเที่ยงของกลุ่มตัวอย่างนี้ เท่ากับ 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ ส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 65.33 อายุเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 59.31ปี (S.D.±11.22) ตำแหน่งที่พบมากที่สุดคือ nasopharyngeal ร้อยละ 52.00 ส่วนใหญ่มีความปวดปานกลางร้อยละ 58.00 ได้ยาบรรเทาความปวด paracetamol ร้อยละ 36.00 รองลงมาคือ tramadol ร้อยละ 31.33 ดัชนีการจัดการความปวดของกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ มีคะแนน -1 ร้อยละ 50.00 -2 ร้อยละ 12.00 และ -3 ร้อยละ 2.00 รวมค่า PMI ที่ระบุได้ยาไม่เพียงพอกับความปวดทั้งหมดร้อยละ 64.00 และผลกระทบความปวดส่งผลกระทบต่อความสุขในชีวิตประจำวันมากที่สุด และรองลงมาคือการนอนหลับ</p> นวพล แก่นบุปผา นุสรา ประเสริฐศรี จิราพร สุระพล กมลชนก เวฬุวนารักษ์ กรกนก พอกพูน กรรณิการ์ พาคำวงค์ กฤติยา ไขบรรเทา กวินนาถ ลาพ้น กัญญารัตน์ นาคคล้ำ กันยารัตน์ แสงส่อง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 4 3 e270180 e270180 การพัฒนารูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในชุมชน จังหวัดสิงห์บุรี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271196 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรคในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในชุมชนและพัฒนารูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในชุมชนจังหวัดสิงห์บุรี แบ่งการศึกษาเป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ปัญหา โดยใช้แบบสอบถามในกลุ่มตัวอย่าง 61 คน และการสนทนากลุ่ม 3 กลุ่มๆ ละ 10 คน พบว่า 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ขาดนโยบายและแผนงานในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อและขาดบุคลากรที่มีความรู้ 2) หน่วยบริการสาธารณสุขขาดแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยที่ส่งกลับไปรักษาตัวในชุมชน 3) ผู้เกี่ยวข้องมีปัญหาในการคัดแยก รวบรวม ขนย้าย และกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ ระยะที่ 2 ยกร่างรูปแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อในชุมชน ได้รูปแบบ 4 M6S Model สำหรับให้ อปท. หน่วยบริการสาธารณสุข และผู้เกี่ยวข้องในชุมชนปฏิบัติ ดังนี้ M1(Man) การกำหนดหน้าที่องค์กรและสร้างเครือข่าย M2 (Management and Money) สร้างระบบการจัดการและงบประมาณ M3(Maturity) สร้างแนวทางขับเคลื่อนโดยชุมชน M4 (Memorandum of Understanding) สร้างนโยบายสาธารณะและข้อตกลงร่วมกัน 6S ได้แก่ S1(Service) จัดบริการในชุมชนและสถานบริการ S2(System) ระบบติดตามมูลฝอยติดเชื้อในชุมชน S3(Social Information)ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง S4(Separate) การคัดแยกมูลฝอยติดเชื้อในชุมชน S5(Supervising) การนิเทศติดตามให้กำลังใจ S6(Support) จัดระบบสนับสนุนที่เหมาะสม ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบและปรับปรุงให้เหมาะสม ระยะที่ 4 ประเมินผลการใช้รูปแบบ พบว่า อปท. มีนโยบายในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อร้อยละ 83.33 หน่วยบริการสาธารณสุขปฏิบัติตามมาตรฐานการจัดการขยะมูลฝอยติดเชื้อร้อยละ 100 อปท. และผู้ป่วยที่มีขยะติดเชื้อมีการกำจัดได้ถูกต้อง ร้อยละ 96.00</p> พิพัฒน์ กว้างนอก ประจวบ แสงดาว กิตติคุณ บัวศรีพันธุ์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-27 2024-12-27 4 3 e271196 e271196 การใช้ Procalcitonin เพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะติดเชื้อแบคทีเรียของผู้ป่วย ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271748 <p>การวิจัยแบบย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการวินิจฉัยภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียของผู้ป่วยใน ความสัมพันธ์ของปัจจัยเพศและอายุกับผลการวินิจฉัยภาวะติดเชื้อแบคทีเรียของผู้ป่วยใน ความจำเพาะ ความไว และความแม่นยำของการทดสอบวินิจฉัยโปรแคลซิโทนินในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ดำเนินการเก็บข้อมูลผู้ป่วยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ถึงเดือนธันวาคม 2566 โดยใช้แบบบันทึกผู้ป่วยเป็นเครื่องมือวิจัย กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ป่วยในที่ได้รับการทดสอบโปรแคลซิโทนินและมีผลการวินิจฉัยโรค สุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ จำนวน 480 คน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปผู้ป่วยใน ค่าความจำเพาะ ค่าความไว และค่าพื้นที่ใต้เส้นโค้ง เพื่อดูความแม่นยำของโปรแคลซิโทนิน ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่ามัธยฐาน สถิติอนุมาน ได้แก่ การประมาณค่า 95% CI, Chi-Square และ Mann-Whitney U test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 51.67 มีค่ามัธยฐานอายุ 60.50 ปี ร้อยละ 42.50 เป็นผู้ป่วยอายุรกรรม ผลการวินิจฉัยของผู้ป่วยในที่มีภาวะติดเชื้อแบคทีเรียอยู่ที่ร้อยละ 70.83 (95% CI=68.73-72.93) และพบว่าผลการวินิจฉัยภาวะติดเชื้อแบคทีเรียไม่มีความสัมพันธ์กับเพศแต่มีความสัมพันธ์กับอายุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value=.036) เมื่อกำหนดจุดตัดของโปรแคลซิโทนินที่ 0.90 µg/L ตามค่าอ้างอิงของโรงพยาบาล ได้ค่าความจำเพาะและค่าความไวของการทดสอบวินิจฉัยโปรแคลซิโทนิน ร้อยละ 91.43 (95%CI=89.03-93.83) และร้อยละ 52.94 (95%CI=50.24-55.64) ตามลำดับ โดยมีระดับประสิทธิภาพการจําแนกความถูกตองอยู่ในระดับดีตามที่แสดงโดยพื้นที่ใต้เส้นโค้งที่ 0.80 อย่างไรก็ตามเมื่อกำหนดจุดตัดของโปรแคลซิโทนินที่ 0.50 µg/L ค่าความจำเพาะของการทดสอบจะอยู่ที่ร้อยละ 82.86 (95%CI=79.06-86.66) และค่าความไวในการทดสอบอยู่ที่ร้อยละ 63.53 (95%CI=60.93-66.13) โดยรวมแล้วการศึกษานี้ยืนยันว่าจุดตัดของโปรแคลซิโทนินที่ 0.90 µg/L มีความจำเพาะสูงถึงร้อยละ 91.43 โดยมีผลบวกปลอมเพียงเล็กน้อยและสามารถใช้แยกความแตกต่างระหว่างการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นจึงสามารถใช้ตัวบ่งชี้ชีวภาพโปรแคลซิโทนินเพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะการติดเชื้อแบคทีเรียและใช้ในการพิจารณาการให้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นได้</p> สุพจน์ สายทอง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 4 3 e271748 e271748 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271249 <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ อำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างคือ พ่อ แม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กเล็กอายุ 0-5 ปี จำนวน 220 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ปัจจัยทำนายพัฒนาการเด็กปฐมวัยแบบพหุโดยใช้การวิเคราะห์ Multiple logistic regression ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้กลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ผ่านกระบวนการจัดการคุณภาพ (PAOR) กลุ่มตัวอย่างคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 75 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้นระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 30 คู่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent, Paired sample t-test <br />ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย ได้แก่ ความรู้ของผู้ปกครอง การรับรู้ความรุนแรงของเด็กที่มีพัฒนาการช้า การมีส่วนร่วมของชุมชน แรงสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการดูแลเด็กในครอบครัว โดยมีอำนาจทำนายที่ร้อยละ 75.7 รูปแบบการเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้กลไกคณะกรรมการ พชอ. คือ 2S2CBMI-WANYAI Model ประกอบด้วย 1) การกำหนดโครงสร้างและกำหนดนโยบาย 2) ระบบคัดกรองที่ครอบคลุม 3) การสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ 4) การออกแบบสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการกระตุ้นพัฒนาการ 5) สร้างความตระหนักและความผูกพันของประชาชนในองค์กร 6) การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และ 7) การปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการให้ทันสมัยและล้อตามบริบทของพื้นที่ การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบพบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีระดับความรู้ ความเชื่อในสมรรถนะแห่งตน แรงสนับสนุนทางสังคม การมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังพัฒนาการเด็ก พฤติกรรมการดูแลเด็กของพ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กในครอบครัว สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p value&lt;.001) รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มศักยภาพของพ่อแม่ และประชาชนในการเฝ้าระวังพัฒนาการเด็กปฐมวัยโดยใช้กลไกคณะกรรมการ พชอ. อำเภอหว้านใหญ่ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์</p> กิตติศักดิ์ ประคองสิน สุคนธ์ทิพย์ อรุณกมลพัฒน์ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-28 2024-12-28 4 3 e271249 e271249 ผลของการใช้โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุต่อความรู้ และพฤติกรรมด้านการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของผู้สูงอายุกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในอำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/266332 <p>ปัจจุบันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญในผู้สูงอายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน การส่งเสริมความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการใช้โปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุต่อความรู้ด้านการดูแลสุขภาพตนเองในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การวิจัยกึ่งทดลองนี้ ใช้รูปแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง คือผู้สูงอายุจำนวน 81 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนในตำบลไพบูลย์ อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี โดยสุ่มเลือกหมู่บ้านและคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง แบ่งเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 23 คน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 41 คน และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและหัวใจ 17 คน กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ประกอบด้วย การประเมินความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดำเนินโปรแกรมให้ความรู้เกี่ยวกับโรค การดูแลตนเองเมื่อป่วย การป้องกันภาวะแทรกซ้อน และการเยี่ยมบ้านจำนวน 2 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเที่ยง มีค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.83 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Pair t-test เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยของความรู้เกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (ตามหลัก 3อ 2ส) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ระดับ .05 (t73.8, df= 83, p&lt;.001) และค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t15.2, df= 83, p&lt; .001)</p> มณฑิชา รักศิลป์ สมรัก ครองยุทธ ทศา ชัยวรรณวรรต สรวิชญ์ เหล่าดรุณ Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-29 2024-12-29 4 3 e266332 e266332 รูปแบบการบริโภคอาหารสำหรับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และกลุ่มเสี่ยง: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/269739 <p>การทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับรูปแบบการบริโภคอาหารสำหรับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และกลุ่มเสี่ยง ดำเนินการวิจัยโดยการสืบค้นงานวิจัย เอกสารที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญของงานวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับการเผยแพร่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ PubMed Thai Journal Online (ThaiJo) google scholar Google ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2556 ถึง พ.ศ. 2566 ตามกระบวนการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบของสถาบันโจแอนนาบริกส์ ผลการวิจัยที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้า จำนวน 8 ชื่อเรื่อง และสามารถสรุป ลักษณะรูปแบบของอาหารได้ 3 รูปแบบ คือ รูปแบบอาหารตะวันตก (Western dietary patterns) รูปแบบอาหารดั้งเดิม (Traditional dietary patterns) และรูปแบบอาหารเพื่อสุขภาพ (Healthy dietary patterns) โดยแสดงให้เห็นถึงลักษณะสำคัญ 2 ประเด็น คือ อาหารรูปแบบอาหารตะวันตก เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและเป็นเบาหวาน ในขณะที่รูปแบบการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อาจป้องกันการเกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้ การศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และกลุ่มเสี่ยงที่มีความหลากหลายแตกต่างกันตามบริบทของพื้นที่และสถานะสุขภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความแตกต่างอย่างมากในรูปแบบการเลือกบริโภคอาหาร แม้ว่าจะทราบถึงรูปแบบอาหารที่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเองที่จะเลือกรูปแบบในการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับภาวะสุขภาพของตนเอง</p> อรธิรา บุญประดิษฐ์ สุจิรา ฟุ้งเฟื่อง นิรมล พจน์ด้วง Copyright (c) 2024 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-11-09 2024-11-09 4 3 e269739 e269739