วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe <p><strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา</strong><strong><br />ISSN 2985-251X (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong><strong> <br /></strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษาเป็นวารสารรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความทางวิชาการ</p> <ul> <li>ด้านการสาธารณสุข (Public Health)</li> <li>วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Sciences)</li> <li>ด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior)</li> <li>ด้านสุขภาพศึกษา (Health Education)</li> <li>ด้านทันตสาธารณสุข (Dental Public Health)</li> <li>ด้านการพยาบาล (Nursing)</li> </ul> <p><strong> ประเภทของบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>ภาษาไทย (Thai)</li> <li>ภาษาอังกฤษ (English)</li> </ul> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ ปีละ </strong><strong>3 ฉบับ</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (January-April)</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (May-August)</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (September-December)</li> </ul> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> <li>บทความวิชาการ ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความ</strong></p> <p>1. บุคคลภายใน (สังกัดวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี) บทความละ 2,500 บาท</p> <p>2. ศิษย์เก่าวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี บทความละ 3,000 บาท</p> <p>3. บุคคลภายนอก บทความละ 3,500 บาท</p> <p><strong> ***<em>กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิปฎิเสธการตีพิมพ์ หรือกรณีที่ผู้เขียนบทความขอยกเลิกบทความ หลังจากบทความเข้าสู่กระบวนการ Review ส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแล้ว***</em></strong></p> <p><strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมบทความ</strong></p> <p>1) กองบรรณาธิการ แจ้งให้ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ หลังจากที่บทความผ่านกระบวนการปรับแก้เบื้องต้น (Pre review) แล้ว</p> <p>2) ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ชำระค่าธรรมเนียม</p> <p><strong>ชื่อบัญชี</strong> <strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา ร่วมกับชมรมศิษย์เก่า<br />ธนาคารกรุงไทย ประเภท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 662-5-XXXXX-X</strong> </p> <p>3) ส่งหลักฐานการโอนเงินในระบบของวารสารมายังช่องทาง Review Discussions</p> <p>4) กองบรรณาธิการ ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียม</p> <p>5) กองบรรณาธิการ นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Review)</p> <p>6) กองบรรณาธิการ ออกใบเสร็จรับเงินส่งให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในระบบของวารสาร</p> <p>7) กองบรรณาธิการ ส่งใบเสร็จรับเงินฉบับจริงให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในกรณีที่แจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น</p> <p><strong>ขั้นตอนการประเมินบทความ</strong></p> <p>1. กองบรรณาธิการกลั่นกรองบทความหลังจากที่บทความส่งเข้ามายังระบบของวารสาร<br />2. แจ้งผู้เขียนบทความให้ปรับแก้เบื้องต้น (Pre-Review) ตามรูปแบบที่วารสารกำหนด<br />2.1 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นแล้ว แจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมบทความ<br />2.2 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นไม่สมบูรณ์ แจ้งให้ผู้เนิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />2.3 กรณีผู้นิพนธ์ไม่ปรับแก้ ปฏิเสธการตีพิมพ์ <br />3. หลังจากที่ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมบทความแล้ว นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ (Review)<br />4. บทความที่ผ่านการประเมิน มีการปรับแก้ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือจนกว่าบทความจะสมบูรณ์ จึงเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่ตีพิมพ์<br />4.1 กรณีที่ปรับแก้บทความไม่สมบูรณ์ แจ้งผู้นิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />4.2 กรณีที่ไม่ปรับแก้บทความ ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ปฏิเสธการตีพิมพ์<br />5. วารสารออกหนังสือตอบรับการตีพิมพ์ หลังจากที่ผู้นิพนธ์ปรับแก้ไขบทความตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง<br />6. กระบวนการปรับแก้ไขบทความยังคงมีต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการ Copyediting และ Production<br />7. กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้นิพนธ์อ่านทบทวนบทความเป็นครั้งสุดท้าย และยืนยันการเผยแพร่บทความ เนื้อหาของบทความและความคิดเห็นในบทความทั้งหมดเป็นของผู้นิพนธ์แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ ทางกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบใดๆเกี่ยวกับความผิดพลาดของบทความนั้นๆ<br />8. บทความที่ได้รับจดหมายตอบรับตีพิมพ์แล้ว หากท่านไม่ปฎิบัติตามขั้นตอนของวารสาร หรือไม่ปรับแก้ไขบทความต่อเนื่องจนกว่าจะถึงกระบวนการก่อนการเผยแพร่ตีพิมพ์ หรือขาดการติดต่อกับกองบรรณาธิการวารสาร หรือหากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบภายหลังพบว่ากระบวนการวิจัยของท่านไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย จดหมายตอบรับตีพิมพ์นั้นถือว่าเป็นโมฆะ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์<br />9. บทความที่เผยแพร่ตีพิมพ์กับวารสารแล้ว หากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบพบว่ากระบวนการวิจัยไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย บทความดังกล่าวจะถูกถอนออกจากระบบของวารสาร ปฎิเสธการเผยแพร่ทันที</p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1WA-npdQHi1bgCmvbfvsZJ5QGTYs3yyvq/view?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener"><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นตอนการพิจารณาและประเมินบทความ</span></a></p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา (Thai Journal of Public Health and Health Education) เป็นลิขสิทธิ์ของ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี</p> tjphe_editor@scphub.ac.th (ผศ.ดร.ภคิน ไชยช่วย (Asst.Prof.Dr.Pakin Chaichuay)) kaewjai@scphub.ac.th (อาจารย์แก้วใจ มาลีลัย (Kaewjai Maleelai)) Sun, 01 Jun 2025 15:58:57 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจทำนายระดับการติดนิโคติน และภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274532 <p>การวิจัยพรรณนาแบบทำนายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และอำนาจทำนายระดับการติดนิโคตินและภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่าง คือ วัยรุ่นอายุ 15-18 ปี ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดสุรินทร์ จํานวน 84 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ พฤศจิกายน-ธันวาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินการติดนิโคติน และแบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น ตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือแบบประเมินการติดนิโคติน และแบบประเมินภาวะซึมเศร้าในวัยรุ่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้เท่ากับ 0.84 และ 0.92 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และสถิติถดถอยอย่างง่าย ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 88.1 อายุ 18 ปี ร้อยละ 98.8 ส่วนใหญ่กำลังศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส) ร้อยละ 82.1 สถานภาพสมรส บิดามารดาส่วนใหญ่ อยู่ด้วยกัน รายร้อยละ 75 ผู้ปกครองที่ดูแลหลักส่วนใหญ่เป็นมารดา ร้อยละ 56 การสูบบุหรี่ของบุคคลในครอบครัวส่วนใหญ่ไม่สูบ ร้อยละ 59.5 ระดับการติดนิโคตินมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับภาวะซึมเศร้าของกลุ่มตัวอย่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (<em>r</em>=0.267) และระดับการติดนิโคตินสามารถทำนายภาวะซึมเศร้าของกลุ่มตัวอย่างได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้ร้อยละ 7.1 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าบุคลากรทางสุขภาพควรพัฒนากิจกรรมการป้องกันหรือแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นเพื่อลดการเกิดภาวะซึมเศร้า</p> ธิดารัตน์ คณึงเพียร, รศิกาญจน์ พลจำรัสพัชญ์, รัตนา คำศรี Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274532 Sun, 01 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของรูปแบบการจัดการรายกรณีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านลานแหลม จังหวัดนครปฐม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274643 <p>โรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยเฉพาะโรคเบาหวานเป็นปัญหาสำคัญระดับโลกที่ต้องการการจัดการอย่างเป็นระบบ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิด 1 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของรูปแบบการจัดการรายกรณีต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านลานแหลม จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลิกรัมต่อเดซิลิตร ในระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงเดือนมกราคม 2568 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการจัดการรายกรณี โดยประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการตนเองของแคนเฟอร์และแกลิกค์-บายส์ และแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ประกอบด้วยการให้ความรู้ในการบริโภคอาหารเบาหวาน การออกกำลังกาย การใช้ยาและการตรวจตามนัด การฝึกปฏิบัติตนเองในการควบคุมโรค การติดตามเยี่ยมบ้านและการให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นรายกรณี เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ ระดับน้ำตาลปลายนิ้ว ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลปลายนิ้วลดลงและระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดลดลงหลังการทดลองและระยะติดตามผล 3 เดือนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) มีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมสุขภาพสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในทุกด้าน ได้แก่ ความรู้ในการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาและการมาตรวจตามนัด ข้อเสนอแนะควรขยายผลการใช้รูปแบบการจัดการรายกรณีไปยังพื้นที่อื่นที่มีผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมาก เพื่อช่วยส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม และการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการดูแลตนเอง ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลปลายนิ้วและน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดลดลงอย่างชัดเจน เป็นการลดภาวะแทรกซ้อน และภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว</p> ยุพิน จันมูล, วิดาพร ทับทิมศรี, นิศมา ภุชคนิตย์ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274643 Thu, 05 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการสอนด้วยสื่อดิจิทัลร่วมกับการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ต่อความรู้ ทักษะการล้างโพรงจมูก และอาการทางจมูกของผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272231 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการสอนด้วยสื่อดิจิทัลร่วมกับการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ต่อความรู้ ทักษะการล้างโพรงจมูก และอาการทางจมูกของผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบ ที่มารับบริการที่ห้องตรวจ หู คอ จมูก แผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 42 ราย คัดเลือกโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย และแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 21 คน กลุ่มทดลองได้รับการสอนเรื่องโรคไซนัสอักเสบและวิธีการล้างจมูกด้วยสื่อดิจิทัลร่วมกับการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบได้รับการสอนด้วยวิธีปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความรู้เรื่องโรคไซนัสอักเสบ วิธีการล้างโพรงจมูกด้วยตนเอง แบบประเมินทักษะการล้างโพรงจมูกด้วยตนเอง และแบบบันทึกอาการทางจมูกที่มีค่า ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา มีค่า CVI เท่ากับ 1.00 ทุกฉบับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-square test, Wilcoxon sign-ranks test, Mann-Whitney U test และ McNemar Test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เรื่องโรคไซนัสอักเสบ วิธีการล้างโพรงจมูกด้วยตนเอง ทักษะการล้างโพรงจมูกด้วยตนเอง สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em>-value&lt;.05 และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em>-value&lt;.05 รวมทั้งมีอาการทางจมูกลดลงมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ สรุปได้ว่า การสอนด้วยสื่อดิจิทัลร่วมกับการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลในการส่งเสริมความรู้และพัฒนาทักษะการล้างโพรงจมูกด้วยตนเอง และลดอาการทางจมูกของผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบได้ดีกว่าวิธีสอนปกติ จึงควรไปประยุกต์ใช้ในการให้คำแนะนำและส่งเสริมการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วยโรคไซนัส รวมถึงขยายผลสู่การปรับใช้กับผู้ป่วยในแผนกอื่นๆต่อไป</p> อุบล พงศ์วุฒิศักดิ์, พรนิภา แก้ววิจิตร, อัมภาพันธ์ คำดวงกาศ, ทิพวรรณ เทียมแสน, สุทธิศักดิ์ สุริรักษ์ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272231 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้และคำปรึกษาด้านยาโดยเภสัชกรในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274633 <p>โรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมอาการและลดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ด้วยการรับประทานยารักษาโรคความดันโลหิตสูงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความร่วมมือในการรับประทานยาและระดับความดันโลหิตของผู้ป่วย ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการให้ความรู้และคำปรึกษาด้านยาโดยเภสัชกร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 74 รายแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 37 ราย และกลุ่มควบคุม 37 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความร่วมมือในการรับประทานยาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และโปรแกรมการให้ความรู้และการให้คำปรึกษาด้านยาโดยเภสัชกร วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังใช้โปรแกรม ด้วยสถิติ Paired t-test Wilcoxon Signed Ranks test Independent t–test และ Mann Whitney U Test กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.10 อายุเฉลี่ย 59.49 ปี (S.D.=7.34) มีโรคร่วมเป็นไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 81.10 และรับประทานยาด้วยตนเอง ร้อยละ 91.90 หลังใช้โปรแกรม ค่าเฉลี่ยความร่วมมือในการรับประทานยาของกลุ่มทดลอง (X=3.95, S.D.=0.10) สูงกว่าก่อนใช้โปรแกรม (X=3.64, S.D.=0.14) และสูงกว่ากลุ่มควบคุม (X=3.69, S.D.=0.16) ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซิสโตลิกของกลุ่มทดลอง (X=141.46, S.D.=8.76) มีค่าน้อยกว่าก่อนใช้โปรแกรม (X=147.43, S.D.=9.49) และน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (X=146.76, S.D.=8.09) และค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตไดแอสโตลิกของกลุ่มทดลอง (X=91.27, S.D.=6.44) มีค่าน้อยกว่าก่อนใช้โปรแกรม (X=95.59, S.D.=6.59) และน้อยกว่ากลุ่มควบคุม (X=95.95, S.D.=4.37) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>&lt;.001) ดังนั้นโปรแกรมการให้ความรู้และการให้คำปรึกษาด้านยาโดยเภสัชกรนี้เป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิผล สามารถนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้</p> สุริยนต์ มิ่งขวัญ Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274633 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างผลการตรวจร่างกายกับผลการตรวจเม็ดเลือดแดง ของประชากรวัยทำงานในสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบทในจังหวัดลำปาง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274198 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยย้อนหลังเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลการตรวจร่างกาย ได้แก่ ดัชนีมวลกาย, ชีพจร, ความดันโลหิต และสมรรถภาพปอด กับผลการตรวจเม็ดเลือดแดง ได้แก่ ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเลือด ร้อยละของปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่นในเลือด จำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดหนึ่งไมโครลิตร, ปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง น้ำหนักเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และความเข้มข้นเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง โดยศึกษาข้อมูล จากแบบบันทึกผลการตรวจร่างกายและตรวจเลือดของประชากรวัยทำงานอายุระหว่าง 20-59 ปี ในสังคมกึ่งเมืองกึ่งชนบทของจังหวัดลำปาง จำนวนทั้งสิ้น 788 ราย เป็นเพศชาย 257 ราย และเพศหญิง 531 ราย เก็บข้อมูลระหว่าง วันที่ 26 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิกายน 2567 วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนาและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่มีสุขภาพดีที่เข้ารับการตรวจ เพศชายอายุมีความสัมพันธ์เชิงลบกับค่าผลการตรวจเม็ดเลือดแดง 3 ค่าแรก ขณะที่ดัชนีมวลกายและความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับค่าผลการตรวจเม็ดเลือดแดง 3 ค่าแรก ส่วนเพศหญิงอายุมีความสัมพันธ์กับปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง ดัชนีมวลกาย ชีพจร ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว มีความสัมพันธ์กับค่าผลการตรวจเม็ดเลือดแดงหลายค่า จากผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ค่าผลการตรวจร่างกายบางค่ามีศักยภาพในการใช้เป็นตัวบ่งชี้ค่าผลการตรวจเม็ดเลือดแดง ที่ใช้วินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการสำหรับภาวะโลหิตจางได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยทำงาน แต่กลไกทางสรีรวิทยาของความสัมพันธ์เหล่านี้ ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป</p> ยุทธนา หมั่นดี, ปวเรศ ปัญญาใจ, ทมนัย ลำทา, นนทรัตน์ ทรายขาว Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274198 Wed, 16 Jul 2025 00:00:00 +0700