วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe
<p><strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา</strong><strong><br />ISSN 2985-251X (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong><strong> <br /></strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษาเป็นวารสารรับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความทางวิชาการ</p> <ul> <li>ด้านการสาธารณสุข (Public Health)</li> <li>วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Sciences)</li> <li>ด้านพฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior)</li> <li>ด้านสุขภาพศึกษา (Health Education)</li> <li>ด้านทันตสาธารณสุข (Dental Public Health)</li> <li>ด้านการพยาบาล (Nursing)</li> </ul> <p><strong> ประเภทของบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research Article)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ul> <p><strong> ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ul> <li>ภาษาไทย (Thai)</li> <li>ภาษาอังกฤษ (English)</li> </ul> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ ปีละ </strong><strong>3 ฉบับ</strong></p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (January-April)</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (May-August)</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (September-December)</li> </ul> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> </p> <ul> <li>บทความวิจัย ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> <li>บทความวิชาการ ทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน <strong>(Double-Blind Review) </strong>ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสถาบัน</li> </ul> <p><strong>ค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความ</strong></p> <p>1. บุคคลภายใน (สังกัดวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี) บทความละ 2,500 บาท</p> <p>2. ศิษย์เก่าวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี บทความละ 3,000 บาท</p> <p>3. บุคคลภายนอก บทความละ 3,500 บาท</p> <p><strong> ***<em>กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิปฎิเสธการตีพิมพ์ หรือกรณีที่ผู้เขียนบทความขอยกเลิกบทความ หลังจากบทความเข้าสู่กระบวนการ Review ส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินแล้ว***</em></strong></p> <p><strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมบทความ</strong></p> <p>1) กองบรรณาธิการ แจ้งให้ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประเมินบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ หลังจากที่บทความผ่านกระบวนการปรับแก้เบื้องต้น (Pre review) แล้ว</p> <p>2) ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ชำระค่าธรรมเนียมตามสังกัดข้างต้น</p> <p><strong>ชื่อบัญชี</strong> <strong>วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา ร่วมกับชมรมศิษย์เก่า<br />ธนาคารกรุงไทย ประเภท ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 662-5-42917-1</strong> </p> <p>3) ส่งหลักฐานการโอนเงินในระบบของวารสารมายังช่องทาง Review Discussions</p> <p>4) กองบรรณาธิการ ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียม</p> <p>5) กองบรรณาธิการ นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Review)</p> <p>6) กองบรรณาธิการ ออกใบเสร็จรับเงินส่งให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในระบบของวารสาร</p> <p>7) กองบรรณาธิการ ส่งใบเสร็จรับเงินฉบับจริงให้ผู้นิพนธ์/ผู้วิจัย ในกรณีที่แจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น</p> <p><strong>ขั้นตอนการประเมินบทความ</strong></p> <p>1. กองบรรณาธิการกลั่นกรองบทความหลังจากที่บทความส่งเข้ามายังระบบของวารสาร<br />2. แจ้งผู้เขียนบทความให้ปรับแก้เบื้องต้น (Pre-Review) ตามรูปแบบที่วารสารกำหนด<br />2.1 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นแล้ว แจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมบทความ<br />2.2 กรณีปรับแก้บทความเบื้องต้นไม่สมบูรณ์ แจ้งให้ผู้เนิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />2.3 กรณีผู้นิพนธ์ไม่ปรับแก้ ปฏิเสธการตีพิมพ์ <br />3. หลังจากที่ผู้นิพนธ์ชำระค่าธรรมเนียมบทความแล้ว นำบทความเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ (Review)<br />4. บทความที่ผ่านการประเมิน มีการปรับแก้ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือจนกว่าบทความจะสมบูรณ์ จึงเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่ตีพิมพ์<br />4.1 กรณีที่ปรับแก้บทความไม่สมบูรณ์ แจ้งผู้นิพนธ์ปรับแก้อีกครั้ง<br />4.2 กรณีที่ไม่ปรับแก้บทความ ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ปฏิเสธการตีพิมพ์<br />5. วารสารออกหนังสือตอบรับการตีพิมพ์ หลังจากที่ผู้นิพนธ์ปรับแก้ไขบทความตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง<br />6. กระบวนการปรับแก้ไขบทความยังคงมีต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่กระบวนการ Copyediting และ Production<br />7. กองบรรณาธิการจะแจ้งให้ผู้นิพนธ์อ่านทบทวนบทความเป็นครั้งสุดท้าย และยืนยันการเผยแพร่บทความ เนื้อหาของบทความและความคิดเห็นในบทความทั้งหมดเป็นของผู้นิพนธ์แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการ ทางกองบรรณาธิการจะไม่รับผิดชอบใดๆเกี่ยวกับความผิดพลาดของบทความนั้นๆ<br />8. บทความที่ได้รับจดหมายตอบรับตีพิมพ์แล้ว หากท่านไม่ปฎิบัติตามขั้นตอนของวารสาร หรือไม่ปรับแก้ไขบทความต่อเนื่องจนกว่าจะถึงกระบวนการก่อนการเผยแพร่ตีพิมพ์ หรือขาดการติดต่อกับกองบรรณาธิการวารสาร หรือหากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบภายหลังพบว่ากระบวนการวิจัยของท่านไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย จดหมายตอบรับตีพิมพ์นั้นถือว่าเป็นโมฆะ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการตีพิมพ์<br />9. บทความที่เผยแพร่ตีพิมพ์กับวารสารแล้ว หากทางกองบรรณาธิการตรวจสอบพบว่ากระบวนการวิจัยไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมการวิจัย บทความดังกล่าวจะถูกถอนออกจากระบบของวารสาร ปฎิเสธการเผยแพร่ทันที</p> <p><a href="https://drive.google.com/file/d/1_GmAROdJbJVs3hkWje5W1JJb29oaNu_M/view?usp=sharing" target="_blank" rel="noopener"><span style="font-size: 0.875rem;">ขั้นตอนการพิจารณาและประเมินบทความ</span></a></p>
th-TH
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร วารสารสาธารณสุขและสุขภาพศึกษา (Thai Journal of Public Health and Health Education) เป็นลิขสิทธิ์ของ วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี</p>
tjphe_editor@scphub.ac.th (ผศ.ดร.ภคิน ไชยช่วย (Asst.Prof.Dr.Pakin Chaichuay))
kaewjai@scphub.ac.th (อาจารย์แก้วใจ มาลีลัย (Kaewjai Maleelai))
Fri, 31 Jan 2025 19:17:44 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
ความรู้ เจตคติ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตัวและควบคุมโรคไข้เลือดออก ของนักศึกษาและบุคลากรในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271842
<p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของนักศึกษาและบุคลากรในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของนักศึกษาและบุคลากรในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1-4 และบุคลากรของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี จำนวน 247 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการป้องกันตัวและควบคุมโรคไข้เลือดออก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติสหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน และไคสแควร์ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ p value<.01 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 94.74 อายุ 18-28 ปี ร้อยละ 84.62 สถานภาพโสด ร้อยละ 88.66 และกำลังศึกษาในระดับชั้นปีที่ 1-4 ร้อยละ 84.21 ความรู้การป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ระดับปานกลาง ( =11.32, S.D.=2.24) ส่วนเจตคติอยู่ในระดับที่ไม่ดี ( =3.79, S.D.=0.70) และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก อยู่ในระดับดี ( =3.29, S.D.=0.56) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยนำ คือความรู้ (rs=0.426, p<.01) และเจตคติในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก (rs0.264, p<.01) ในขณะที่ปัจจัยเอื้อ คือการได้รับการอบรมเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก และปัจจัยเสริม คือประสบการณ์การป่วยของตนเองและญาติ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการประเมินและปรับปรุงมาตรการป้องกันโรคไข้เลือดออกให้สอดคล้องกับสภาพจริง และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมการควบคุมและป้องกันโรคอย่างครบวงจร</p>
ศุภลักษณ์ ธนาโรจน์, ฐิตินันท์ สามลา , ณัฐพร พลยุทธ , พรนภัส คำมา , แพรทอง คำแก้ว , มาลาศรี ทศเจริญ , สิริกร จันทร์ , อนันตญา ช่างสลัก
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271842
Fri, 31 Jan 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการให้บริการฟันเทียมพระราชทานของผู้ป่วยโรงพยาบาลบุรีรัมย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271554
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบของการใส่ฟันเทียมพระราชทานและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการให้บริการฟันเทียมพระราชทานของผู้ป่วยโรงพยาบาลบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการฟันเทียมพระราชทานปีงบประมาณ 2566 จำนวน 83 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2567 สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า T-Test และ F-test เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 72.3 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีอายุเฉลี่ย 63 ปีของผู้ตอบแบบสอบถามที่มารับบริการ ส่วนใหญ่ใส่ฟันเทียมทั้งปาก ร้อยละ 53.0และ ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการมาใช้บริการฟันเทียม โดยภาพรวมในทุกด้าน จัดอยู่ในระดับ มากที่สุด (x ̅=4.53) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลมากเป็นลำดับที่ 1 ได้แก่ ด้านฟันเทียมพระราชทาน จัดอยู่ในระดับที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการมาใช้บริการมากที่สุด และเมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นด้านเพศ และอาชีพ พบว่า มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันใน 4 ด้าน ยกเว้นด้านความรู้สึกของผู้ป่วยหลังการใส่ฟันเทียม ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันโดยนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยด้านเพศมีค่าอยู่ที่ .015 และด้านอาชีพอยู่ที่ .018 ตามลำดับ</p>
วนิดา ประเสริฐศรี
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271554
Tue, 18 Feb 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชันต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271889
<p>ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเป็นปัญหาทางสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์และทารก ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและการเสียชีวิต การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษากลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่างคือสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงจำนวน 42 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการให้ความรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ผลการศึกษาพบว่า ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ผ่านแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) โดยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเฉลี่ยก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ที่ 64.45 (S.D.=5.174) และหลังจากเข้าร่วมโปรแกรมเพิ่มขึ้นเป็น 87.45 คะแนน (S.D.=4.521) โปรแกรมการให้ความรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชันสามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดในสตรีตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรมีการส่งเสริมและนำไปใช้ในสถานพยาบาลต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด</p>
อมราวดี แสงมณี, ทัศณีย์ หนูนารถ
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271889
Wed, 05 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การรับรู้ต่อสถานการณ์การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ในหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาสาธารณสุขชุมชน สังกัดพระบรมราชชนก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271541
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้ต่อสถานการณ์การถ่ายโอน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเพื่อเปรียบเทียบคะแนนการรับรู้ของนักศึกษา ระหว่างวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต (สาขาสาธารณสุขชุมชน) สังกัดพระบรมราชชนก จำนวน 129 คน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์-28 มีนาคม 2567 ด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไปและการรับรู้ต่อสถานการณ์การถ่ายโอน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการดำเนินการก่อนถ่ายโอน ด้านกลไกและกระบวนการถ่ายโอนภารกิจ ด้านการประเมินความพร้อม และด้านการดำเนินการหลังการถ่ายโอนภารกิจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว <br />ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ต่อการถ่ายโอนภารกิจทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีคะแนนการรับรู้มากที่สุด คือ ด้านการดำเนินการหลังการถ่ายโอนภารกิจ (x ̅=4.04±0.62) รองลงมาคือ ด้านการดำเนินการก่อนถ่ายโอน (x ̅=4.01±0.60) ส่วนด้านที่มีการรับรู้น้อยที่สุดคือ ด้านกลไกและกระบวนการถ่ายโอนภารกิจ (x ̅=3.99±0.60) สำหรับผลการเปรียบเทียบคะแนนการรับรู้ของกลุ่มตัวอย่าง ระหว่าง 4 วิทยาลัย ในสังกัดพระบรมราชชนก พบว่า กลุ่มตัวอย่างจากวิทยาลัยต่าง ๆ มีคะแนนการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การถ่ายโอนภารกิจ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) หลักสูตรและวิทยาลัยในสังกัดพระบรมราชชนกสามารถนำผลการวิจัยนี้ไปใช้ในการวางแผนเพื่อเป็นแนวทางส่งเสริมการให้ความรู้ ความเข้าใจและการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาเพื่อไปปฏิบัติงานในอนาคตต่อไป</p>
จิรัชยา สระชุ่ม, กรกฎ อ่อนคำ, ธวัชชัย สัตยสมบูรณ์, ดาวรุ่ง คำวงศ์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271541
Sat, 08 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมระดับสติปัญญาของเด็กปฐมวัย จังหวัดอุบลราชธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272608
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ พัฒนารูปแบบ และประเมินการส่งเสริมระดับสติปัญญาของเด็กปฐมวัยจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีกระบวนการ 4 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ระดับสติปัญญาเด็กปฐมวัย เด็กอนุบาล 2 ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียน จังหวัดอุบลราชธานีจำนวน 497 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมระดับสติปัญญาเด็กปฐมวัย โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กปฐมวัยจำนวน 30 คน ระยะที่ 3 การนำทดลองใช้รูปแบบ และประเมินผล ทุกอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี และระยะที่ 4 การปรับปรุงรูปแบบฯ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กปฐมวัยจำนวน 30 คน เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินระดับสติปัญญาเด็ก 2-7 ปี และความฉลาดทางอารมณ์เด็กอายุ 3-5 ปี (ฉบับย่อ) สำหรับครู/ผู้ดูแลเด็ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ paired t-test ส่วนข้อมูล เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และบริบท <br />ผลการวิจัย ระยะที่ 1 พบว่า เด็กอนุบาล 2 มีระดับสติปัญญาเฉลี่ย 97.9 (S.D.=16.3) โดยมีระดับสติปัญญาอยู่ในระดับปานกลาง (90-109) มากที่สุดร้อยละ 44.9 รองลงมาคือ ระดับสติปัญญาทึบ (80-89) ร้อยละ 18.5 และระดับสติปัญญาสูงกว่าเกณฑ์ (110-119) ร้อยละ 15.1 ตามลำดับ สำหรับด้านความฉลาดทางอารมณ์ 3 ด้าน (ดี-เก่ง-สุข) ก่อนดำเนินการพัฒนาเท่ากับ 35.4 (S.D.=2.2) ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมระดับสติปัญญา พบว่า รูปแบบการส่งเสริมศักยภาพเด็กปฐมวัยควรได้รับการร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ทักษะชีวิต และพัฒนาทักษะสมองส่วนหน้า อันจะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพเด็กปฐมวัย เมื่อดำเนินการตามรูปแบบการพัฒนาและประเมินผล ในระยะที่ 3 การนำรูปแบบไปใช้และประเมินผล พบว่า ระดับสติปัญญาเฉลี่ย 101.4 (S.D.=13.4) ค่าเฉลี่ยความฉลาดทางอารมณ์หลังดำเนินการพัฒนาเท่ากับ 45.1 (S.D.=2.1) เมื่อเปรียบเทียบระดับสติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์ก่อนและหลังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<.05) และระยะที่ 4 ปรับปรุงรูปแบบการส่งเสริมระดับสติปัญญา โดยมีภาคีเครือข่ายหน่วยงานช่วยสนับสนุน อาทิ ศูนย์อนามัยที่ 10 ศูนย์สุขภาพจิตเขต 10 ชมรมผู้สูงอายุ และสมาคมแม่บ้านสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมศักยภาพเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะสมต่อไป</p>
ธีระพงษ์ แก้วภมร, ชัยสิทธิ์ เรืองโรจน์, รุ่งรัตน์ พละไกร
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272608
Sun, 09 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270813
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากในโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ของจังหวัดอุบลราชธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคลและคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปาก ผ่านการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ทุกข้อมีค่าระหว่าง 0.50 ถึง 1 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟามีค่าเท่ากับ 0.88 เก็บรวบรวมข้อมูลในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 169 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Kruskal-Wallis Test <br />ผลการวิจัยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 51.78 รับเงินเฉลี่ยต่อวัน 35.59 บาท ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่กับแม่ ร้อยละ 64.97 ที่มีอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก ร้อยละ 34.52 คุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากอยู่ในระดับปานกลาง (X ̅=1.58, S.D.=0.32) ด้านอาการที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ (X ̅=1.96, S.D.=0.41) และด้านความสุขสบายทางสังคมมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (X ̅=1.28, S.D.=0.34) เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากในโรงเรียนขนาดเล็ก (X ̅=39.89, S.D.=8.39) ขนาดกลาง (X ̅=39.62, S.D.=8.54) และขนาดใหญ่ (X ̅=38.63, S.D.=8.12) ในจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า โรงเรียนขนาดเล็ก กลาง และใหญ่มีคะแนนเฉลี่ยคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากไม่ต่างกัน (p-value=.791) ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายด้าน โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนและพัฒนาโครงการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก โดยไม่ละเลยโรงเรียนในทุกขนาด จึงจะช่วยให้การดูแลสุขภาพฟันของนักเรียนเป็นไปอย่างทั่วถึงและปรับปรุงกิจกรรมส่งเสริมทันตสุขภาพ การให้ความรู้ด้านสุขภาพฟัน เช่น การจัดกิจกรรมแปรงฟันหลังอาหาร </p>
ศุภชัย ยาณะเรือง, คณาพัณณ์ ล็บครุฑ, รุจิรา มาตขาว, อิสรียาภรณ์ สีสอง, ปิยะณัฐฏ์ จันทวารีย์, อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร, มณฑิรา จันทวารีย์, อดิศักดิ์ พละสาร
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/270813
Wed, 26 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ความเครียดของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาทันตสาธารณสุข วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271015
<p>การวิจัยภาคตัดขวางมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง สภาพแวดล้อม การรับรู้ กับความเครียดของนักศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1-30 กันยายน 2564 ประชากร คือนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต สาขาทันตสาธารณสุข ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 160 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล สภาพแวดล้อมของวิทยาลัย การรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และความเครียดของนักศึกษา ตรวจสอบความตรงของแบบสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ทุกข้อมีค่าระหว่าง 0.66 ถึง 1 วิเคราะห์ค่าความเที่ยงของแบบสอบถาม ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.82, 0.97 และ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาณ โดยการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 84.38 เกรดเฉลี่ยสะสมเท่ากับ 3.07 (S.D.=0.40) ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 6,482 บาทต่อเดือน (S.D.=4,964) ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 95.00 พักอาศัยที่หอพักเอกชน ร้อยละ 70.63 ดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 41.88 สูบบุหรี่ ร้อยละ 1.88 สภาพแวดล้อมวิทยาลัยไม่เอื้ออำนวย ร้อยละ 51.25 การรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในระดับมาก ร้อยละ 70.00 และความเครียดของนักศึกษาอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 54.38 สภาพแวดล้อมวิทยาลัยไม่มีความสัมพันธ์กับความเครียด (OR=1.15; 95% CI=0.61-2.14; p-value=.65) และการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความเครียด (OR=1.25; 95% CI=0.63-2.49; p-value=.50) แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อม การรับรู้ กับความเครียดอาจยังไม่ปรากฏชัดเจน แต่การปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการศึกษาและสุขภาวะทางจิตใจยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม</p>
กันยารัตน์ ชิราวุฒิ, ปิยะณัฐฏ์ จันทวารีย์, จุฑามาศ ปุราชะทำเม, ธัญรัตน์ อินธิยาย, อรนุช วงศ์วัฒนาเสถียร, มณฑิรา จันทวารีย์, สุรัตนา เหล่าไชย, วรรวิษา ตรีสูนย์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271015
Wed, 26 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของการนำโจทย์ทางจริยธรรมและกฎหมายทางการพยาบาล ต่อทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองของนักศึกษาพยาบาล
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273312
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองของนักศึกษาพยาบาล โดยใช้โจทย์ทางจริยธรรมและกฎหมายทางการพยาบาล ดำเนินการวิจัยระหว่าง เดือนสิงหาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลและสุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการเรียนรู้รายวิชาและโจทย์ปัญหา และ 2) แบบสอบถามทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนเฉลี่ยทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองของนักศึกษาพยาบาลโดยรวม ก่อนและหลังเรียนรู้ อยู่ในระดับสูง ( =3.92 S.D.=0.61, ( =4.14 S.D.=0.54) 2) คะแนนเฉลี่ยทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองโดยใช้โจทย์ทางจริยธรรมและกฎหมายทางการพยาบาลในภาพรวม พบว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังเรียนรู้ ไม่แตกต่างกัน (p value>.05) เมื่อพิจารณาทักษะเป็นรายด้าน พบความแตกต่าง 3 ด้าน คือ 1) ด้านการคิดริเริ่มและมีอิสระในการเรียนรู้ 2) ด้านความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง และ 3) ด้านความสามารถในการใช้ทักษะการเรียนรู้และทักษะการแก้ปัญหา คะแนนเฉลี่ยหลังจัดการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า การใช้โจทย์ทางจริยธรรมและกฎหมายทางการพยาบาล ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบนำตนเองในด้านการคิดริเริ่มในการเรียนรู้ของตนเอง ความรับผิดชอบและทักษะการแก้ปัญหา ซึ่งมีผลในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต และผู้เรียนยังได้เรียนรู้การวิเคราะห์และแก้ปัญหาในการปฏิบัติการพยาบาล ซึ่งช่วยเตรียมความพร้อมในวิชาชีพการพยาบาล</p>
กิติวัฒนา ศรีวงศ์, นัฏฐธมน มัธยะจันทร์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273312
Thu, 27 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลลำพูน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271754
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนารูปแบบ และประเมินผลลัพธ์ของการใช้รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลลำพูน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในกลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลลำพูน ในระดับผู้บริหาร จำนวน 12 คน ระดับปฏิบัติการ จำนวน 142 คน และข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จำแนกเป็นก่อนใช้รูปแบบ ระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2567 จำนวน 106 ราย และหลังใช้รูปแบบ ระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2567 จำนวน 135 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความรู้ แบบสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางของรูปแบบ แบบบันทึกข้อมูลการติดเชื้อในกระแสเลือดจากเวชระเบียน แบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสถิติ Paired Samples t-test และ Fisher exact probability test</p> <p>ผลการศึกษาสถานการณ์การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดพบว่า การพยาบาลไม่เป็นแนวทางเดียวกัน การบันทึกข้อมูลผู้ป่วยไม่ครบถ้วน ประเมิน NEWS Score ไม่ถูกต้อง ไม่มีการค้นหาตำแหน่งติดเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงครบทุกราย รูปแบบการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ประกอบด้วยกิจกรรมการพยาบาลผู้ป่วยระยะแรกรับ ระยะดูแลต่อเนื่อง ระยะก่อนจำหน่าย และหลังใช้รูปแบบพยาบาลวิชาชีพมีความรู้เพิ่มสูงขึ้น สามารถปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาล ถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 85.99 เป็นร้อยละ 98.11 เกิดผลลัพธ์ที่ดีในการพยาบาลดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแบบมุ่งเป้าอย่างรวดเร็วใน 1 ชั่วโมง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<.05) และพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (X ̅=4.31, S.D.=0.36) สรุปรูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ ช่วยพัฒนาความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาล และบรรลุเป้าหมายการพยาบาลดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแบบมุ่งเป้าอย่างรวดเร็วใน 1 ชั่วโมง</p>
ศรีวรรณ เรืองวัฒนา, อรทัย ธรรมป๊อก, พรธนา แก้วคำปา, แสงอรุณ สุขสำราญ
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271754
Sat, 29 Mar 2025 00:00:00 +0700
-
ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านแอปพลิเคชันไลน์ต่อความสำเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาวัยรุ่นครรภ์แรกคลอดปกติ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272172
<p>การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาเป็นหนึ่งในวิธีการส่งเสริมสุขภาพที่สำคัญสำหรับมารดาและทารก อย่างไรก็ตาม พบว่าอัตราการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียวในมารดาวัยรุ่นยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะในมารดาครรภ์แรกที่คลอดปกติ การศึกษาวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียวในมารดาวัยรุ่นครรภ์แรกที่คลอดปกติ ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านแอปพลิเคชันไลน์และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาวัยรุ่นครรภ์แรกคลอดปกติ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ในระหว่างเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม 2567 จำนวน 48 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 24 คน และกลุ่มควบคุม 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านไลน์แอปพลิเคชันต่อความสำเร็จในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาวัยรุ่นครรภ์แรกคลอดปกติ แบบสอบถามการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาและแบบบันทึกการติดตามทางโทรศัพท์ร่วมกับแอปพลิเคชันไลน์ นำไปตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน คำนวณหาค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มควบคุมมีอายุเฉลี่ย 17 ปี (S.D.=1.56) และกลุ่มทดลองมีค่าอายุเฉลี่ย 16.5 ปี (S.D.=0.73) กลุ่มควบคุมมีมารดาร้อยละ 66.67 ที่ไม่มีปัญหาการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา ในขณะที่กลุ่มทดลอง ร้อยละ 70.83 ที่ไม่มีปัญหาการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา มารดาวัยรุ่นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีอัตราการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างเดียว แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p=.004) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านแอปพลิเคชันไลน์สามารถเพิ่มอัตราการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาวัยรุ่นครรภ์แรกคลอดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น โปรแกรมนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในกลุ่มมารดาวัยรุ่นได้อย่างมีประสิทธิผล</p>
อาทิตยา บุญธรรม, ขวัญจิตร สงวนโรจน์, ทัศณีย์ หนูนารถ
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272172
Thu, 03 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ผลการรักษานิ่วในท่อน้ำดีด้วยวิธีการส่องกล้องผ่านทางเดินอาหารและท่อน้ำดี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273359
<p>นิ่วในถุงน้ำดีและทางเดินน้ำดีเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การรักษาแบบดั้งเดิมใช้การผ่าตัดเปิดซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนและการพักฟื้นที่ยาวนาน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมการรักษาแบบเจ็บน้อย ทำให้โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดมเริ่มให้บริการรักษานิ่วในท่อน้ำดีด้วยวิธีส่องกล้อง (ERCP) ตั้งแต่ปี 2562 การศึกษาเชิงพรรณนาย้อนหลังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรักษาและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษานิ่วในท่อน้ำดีด้วยวิธี ERCP โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย 103 รายที่ได้รับการรักษาระหว่างปี 2563-2565 ใช้แบบบันทึกข้อมูล 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษา ข้อมูลหัตถการ และภาวะแทรกซ้อน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและใช้ Chi-square test ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่าอัตราความสำเร็จในการรักษาอยู่ที่ร้อยละ 81.55 สอดคล้องกับการศึกษาอื่นที่รายงานในช่วงร้อยละ 70-90 ภาวะแทรกซ้อนที่พบมากที่สุดคือตับอ่อนอักเสบ ร้อยละ 8.74 และท่อน้ำดีอักเสบ ร้อยละ 2.91 การใช้เทคนิคซับซ้อนที่ผสมผสานวิธีการหลายอย่าง เช่น การรักษาร่วมกันโดยการตัดกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลายของท่อน้ำดี ขยายทางเข้าท่อน้ำดีด้วยบอลลูนชนิดพิเศษที่ขยายตัวในลักษณะที่ควบคุมได้ สลายนิ่วให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆโดยการขบ และใช้อุปกรณ์ลากนิ่วออกมาด้วยบอลลูน มีอัตราความสำเร็จร้อยละ 100 ขณะที่หัตถการใช้เวลา 10-30 นาทีมีอัตราความสำเร็จร้อยละ 95.12 ซึ่งสูงกว่าการใช้เวลานานกว่า 60 นาที ร้อยละ 64.86 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><.001) ผลการศึกษานี้สามารถนำไปพัฒนาแนวทางการเลือกเทคนิคที่เหมาะสมในการรักษา การคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง และการพัฒนาทักษะของทีมแพทย์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จและลดภาวะแทรกซ้อนในการรักษานิ่วในท่อน้ำดีด้วยวิธี ERCP ได้ในอนาคต</p>
ภัทรดิศ จุลภักดีเกื้อหนุน
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273359
Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273369
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการปรับตัวและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 1 จำนวน 136 คน ใช้วิธีเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนธันวาคม 2567 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 2) แบบสอบถามแรงสนับสนุนทางสังคม 3) แบบสอบถามการเผชิญปัญหา 4) แบบสอบถามการเห็นคุณค่าในตนเอง และ 5) แบบสอบถามการปรับตัวของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ตรวจสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88, 0.67, 0.93, 0.79 และ 0.98 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์ของตัวแปรโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และมีภูมิลำเนาในจังหวัดสุรินทร์ ระดับการปรับตัวโดยรวมของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ อยู่ในระดับสูง (X=112.92, S.D.=15.72) ได้แก่ ด้านสังคม การเข้าร่วมกิจกรรมของวิทยาลัย ผู้สอน สภาพแวดล้อม และกลุ่มเพื่อน แสดงให้เห็นถึงการมีระบบสนับสนุนทางสังคมที่เข้มแข็งและการดูแลนักศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่การปรับตัวด้านการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านสู่การเรียนรู้ระดับอุดมศึกษา สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่าการเผชิญปัญหา (r=.812, <em>p</em>-value<.01) มีผลสูงสุด รองลงมาคือ การเห็นคุณค่าในตนเอง (r=.547, <em>p</em>-value<.01) ความฉลาดทางอารมณ์ (r=.456, <em>p</em>-value<.01) และแรงสนับสนุนทางสังคม (r=.433, <em>p</em>-value<.01) จากผลวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างทักษะการเผชิญปัญหา การจัดระบบที่ปรึกษาระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา การส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ และการเสริมสร้างแรงจูงใจ โดยนำแนวทางเหล่านี้บูรณาการเข้ากับกิจกรรมเสริมหลักสูตร เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาปรับตัวได้ดีทั้งด้านวิชาการ อารมณ์ และสังคม ซึ่งส่งเสริมให้นักศึกษาประสบความสำเร็จทั้งในการศึกษาและการประกอบวิชาชีพพยาบาลในอนาคต</p>
จิรสุดา ทะเรรัมย์, สุรศักดิ์ ปลื้มจิต, กมลรส กลองชัย, กรรณิการ์ เสาธงทอง, กรองทอง ชำนิพันธ์, กัญญานัฐ พักตร์ใส, คเชนทร์ เชื้อบัณฑิต, จุฑามาศ ดีสนิท, ศรชัย สิงห์ทอง, ศุภาวดี มีทอง
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/273369
Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274497
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 381 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามแรงจูงใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตและพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม 2567 ตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.75 และ 0.76 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่าแรงจูงใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตอยู่ในระดับสูงและพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ในระดับสูง ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การรับรู้อุปสรรคของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไต การสูบบุหรี่ และการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ตามลำดับ ซึ่งตัวแปรเหล่านี้ร่วมพยากรณ์พฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ร้อยละ 18.2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนําไปใช้ออกแบบโครงการหรือกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และการจัดทำสื่อสุขศึกษาหรือกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางไตของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2</p>
กัญญารัตน์ บุญแสน, บุษราภรณ์ จันทัก , ยุทธนา แยบคาย, วรรณนิภา สีรัง
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274497
Wed, 23 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
การสำรวจความต้องการด้านการตรวจประเมินความสามารถทางกายและการมีส่วนร่วมทางสังคม ของเด็กสมองพิการในโรงเรียนศรีสังวาลย์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274353
<p>เด็กสมองพิการมีความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวเนื่องจากมีความบกพร่องของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการมีส่วนร่วมในสังคมรวมถึงการเข้ารับการศึกษา อย่างไรก็ตามเด็กที่มีความสามารถดีระดับหนึ่ง จะสามารถเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษร่วมกับรับการฟื้นฟูความสามารถทางกาย แต่ในปัจจุบันยังขาดการประเมินมาตรฐานในเด็กกลุ่มนี้ ดังนั้นการวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการใช้งาน ความต้องการ และความพึงพอใจต่อเครื่องมือการตรวจประเมินความสามารถทางกาย และการมีส่วนร่วมทางสังคม ในกลุ่มตัวอย่างคือนักกายภาพบำบัดโรงเรียนศรีสังวาลย์ในประเทศไทยทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ นนทบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ จำนวน 11 คน เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง มิถุนายน พ.ศ.2563 เครื่องมือที่ใช้คือแบบสำรวจผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และเลือกนักกายภาพบำบัดจำนวนแห่งละ 2 คน เพื่อทำการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษา พบว่าโรงเรียนทั้ง 3 แห่งมีการใช้แบบประเมินความสามารถทางกายกับเด็กสมองพิการในโรงเรียน มีความต้องการแบบประเมินที่สามารถประเมินด้านการมีส่วนร่วมทางสังคมของเด็กสมองพิการ (3.67-4.5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5) และจากการสำรวจความพึงพอใจของแบบประเมินความสามารถทางกายของแต่ละโรงเรียน พบว่ามีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด (4.0-4.67 คะแนนจากคะแนนเต็ม 5) นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่าแบบประเมินความสามารถทางกายยังมีข้อจำกัดเรื่องความชัดเจนและไม่ครอบคลุมหัวข้อในแบบประเมินความสามารถทางกายทั้งหมด และต้องการแบบประเมินด้านการมีส่วนร่วมทางสังคมของเด็กสมองพิการ เพื่อประเมินการทำกิจกรรมในครอบครัว การทำกิจกรรมในชุมชน กิจวัตรประจำวัน และทักษะทางด้านวิชาการ ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่าโรงเรียนทั้ง 3 แห่ง มีการใช้แบบประเมินที่ยังไม่ชัดเจน ครอบคลุม และยังขาดแบบประเมินด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้ จะช่วยเป็นแนวทางในการเลือก หรือพัฒนาแบบประเมินที่เหมาะสมและครอบคลุมตามความต้องการของนักกายภาพบำบัดที่จะใช้ประเมินความสามารถทางกายและการมีส่วนร่วมทางสังคมของเด็กสมองพิการในโรงเรียนพิเศษได้</p>
จิราภรณ์ วรรณปะเข, ลักษิกา หวังธำรง, วิทยา ดวงงา
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/274353
Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน โดยโดยให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง อำเภอนาทม จังหวัดนครพนม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271501
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชน โดยให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนในเขต อำเภอนาทม จังหวัดนครพนม ประกอบไปด้วย ผู้ป่วยวัณโรค ผู้ดูแลผู้ป่วยวัณโรค ทีมสหวิชาชีพ และเครือข่ายสุขภาพในชุมชน จำนวน 56 คน กระบวนการพัฒนาโดยใช้รูปแบบ PAOR จำนวน 1 วงรอบ เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถาม ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสังเกตการมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ สถิติ Wilcoxon signed rank test การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่าผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่มีปัญหาในการดูแลสุขภาพตนเอง คือการขาดนัดรับยา และทานยาไม่ต่อเนื่อง หน่วยบริการมีการติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยไม่ครอบคลุม และขาดการกำกับติดตามการทานยาของผู้ป่วย การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ประเมินและวิเคราะห์ปัญหาของการดูแลผู้ป่วยโรควัณโรคของหน่วยบริการและชุมชน 2) พัฒนากลไกการดำเนินงาน การทบทวนแนวปฏิบัติ การพัฒนาสมรรถนะผู้ป่วยผู้ดูแลและทีมชุมชน 3) สนับสนุนการปฏิบัติตัวและติดตามการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย โดยเน้นการจัดกิจกรรมที่ต่อเนื่องในชุมชน และ 4) สรุปผลการดำเนินงานและสะท้อนผลสำเร็จปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน รูปแบบการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนโดยให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางครั้งนี้ เน้นการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยที่บ้าน ติดตามการทานยาอย่างต่อเนื่องตามแผนการรักษา โดยความร่วมมือระหว่างผู้ดูแลผู้ป่วย อสม.พี่เลี้ยง เครือข่ายชุมชน และสหวิชาชีพ ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งปัจจัยด้านบุคคล สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม ดูแลให้คำปรึกษาที่ถูกต้องอย่างเหมาะสมแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ผลการพัฒนาพบว่าภายหลังการพัฒนากลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องวัณโรคและการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสูงขึ้นมากกว่าก่อนได้รับโปรแกรม 2.34 คะแนน (Z=-5.027, <em>p-</em>value<.001) ความพึงพอใจของผู้ดูแลและผู้มีส่วนร่วมระดับสูง ร้อยละ 93.33 และร้อยละ 88.46 ตามลำดับ ผู้ป่วยโรควัณโรคมีอัตราความสำเร็จหลังการรักษา 6 เดือน ร้อยละ 93.33 ผลการศึกษาสามารถนำรูปแบบไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนที่มีบริบทใกล้เคียงกัน และสามารถประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังเรื้อรังที่ต้องได้รับการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง</p>
ปฐวี สาระติ, พัดชา หิรัญวัฒนกุล, จารุวรรณ วิโรจน์
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/271501
Tue, 29 Apr 2025 00:00:00 +0700
-
การประเมินความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์และความเมื่อยล้าจากการทำงานของ ผู้รับจ้างเก็บดอกมะลิ จังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272205
<p>การศึกษานี้วัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์ ความเมื่อยล้าและปัจจัยกับความเมื่อยล้าของผู้รับจ้างเก็บดอกมะลิ จังหวัดหนึ่งในเขตภาคเหนือ โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความเมื่อยล้าของร่างกาย และแบบประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 55 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน กําหนดนัยสําคัญทางสถิติเท่ากับ .05 ผลการศึกษา พบว่า ผู้รับจ้างเก็บดอกมะลิส่วนใหญ่มีความเสี่ยงทางด้านการยศาสตร์ระดับปานกลาง และมีความเมื่อยล้าระดับปานกลาง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้า พบว่า อายุ และสถานภาพสมรสเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับระดับความเมื่อยล้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p-</em>value <.05) และระดับความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความเมื่อยล้า ทั้งนี้ ในท่าทางการทำงานที่ผิดหลักการยศาสตร์อาจนําไปสูอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูกโครงร่าง </p>
สรยุทธ์ วงศ์เง้า, พิชญาภัค หล้าสุด, กมลพรรณ จันทร, ชนกานต์ สกุลแถว
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjphe/article/view/272205
Wed, 30 Apr 2025 00:00:00 +0700