https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjpt/issue/feedวารสารกายภาพบำบัด2024-08-21T00:00:00+07:00Chitanongk Gaogasigamchitanongg@gmail.comOpen Journal Systems<p><strong>เป้าหมายและขอบเขต:</strong></p> <p>วารสารกายภาพบำบัด (Thai J Phys Ther) เป็นวารสารอย่างเป็นทางการของสมาคมกายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย วารสารนี้มีพันธกิจในการเผยแพร่และแบ่งปันความรู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ทางด้านกายภาพบำบัดซึ่งสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติทางกายภาพบำบัดคลินิกรวมถึงการเรียนการสอนทางด้านกายภาพบำบัด วารสารนี้เผยแพร่บทความประเภท บทความวิจัย บทความปริทัศน์ และจดหมายถึงบรรณาธิการ</p> <p><strong>ISSN old number (2522-2566)</strong></p> <p>ISSN 0125-4634 (print)</p> <p>ISSN 2730-3004 (online)</p> <p><strong><span class="il">ISSN new number (2567-)</span> </strong></p> <p>ISSN 3027-7086 (online)</p> <p> </p> <p><strong>กระบวนการพิจารณา: </strong>บทความต้นฉบับทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้นอย่างน้อยสามคนผ่านกระบวนการ double-blinded review</p> <p><strong>ความถี่:</strong> กำหนดออก 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม </p> <p><strong>ภาษา:</strong> บทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ, บทความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </p> <p><strong>ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์: </strong>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <p><strong>การเข้าถึง: </strong>สามารถเข้าถึงบทความผ่านทางออนไลน์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย</p>https://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjpt/article/view/267353แบบประเมินการควบคุมลำตัวในเด็กที่มีภาวะสมองพิการ: การทบทวนวรรณกรรม อย่างเป็นระบบ2024-05-01T08:14:18+07:00พีรยา เต็มเจริญสุขpeeraya@g.swu.ac.thจิรัชญา เลิศพิทยภูมิjirutchaya.jaja@g.swu.ac.thเจตน์สฤษฏิ์ แก้วธนะสินjetsarit.kaewthanasin@g.swu.ac.thธัญรดา สุขเกษมthunrada.murf@g.swu.ac.thณัฏฐกิตต์ แก้ววิเชียรnattakit.kaewwichian@g.swu.ac.thศิธร เจริญพร้อมsitorn.sea@g.swu.ac.th<p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong><strong>:</strong> การควบคุมลำตัวบกพร่องเป็นหนึ่งในความผิดปกติที่พบมากในเด็กที่มีภาวะสมองพิการซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถด้านการเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมทำให้การประเมินการควบคุมลำตัวจึงมีความสำคัญ ปัจจุบันมีการพัฒนาแบบประเมินการควบคุมลำตัวเพื่อใช้ในทางคลินิกหลายเครื่องมือซึ่งมีรายละเอียดและความเหมาะสมของการนำไปใช้แตกต่างกัน การศึกษานี้จึงมีขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเลือกใช้แบบประเมินได้ตรงตามความต้องการต่อไป</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อรวบรวมข้อมูลแบบประเมินการควบคุมลำตัวในเด็กที่มีภาวะสมองพิการที่มีการเผยแพร่ในปัจจุบันอย่างเป็นระบบ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: สืบค้นงานวิจัยที่ศึกษาแบบประเมินการควบคุมลำตัวจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ทั้งหมด 7 แหล่ง และทำการคัดกรองตามเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก จากนั้นนำงานวิจัยที่เข้ารอบมาสกัดข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ (1) จุดประสงค์ของแบบประเมิน, (2) การนําไปใช้ทางคลินิก, (3) การออกแบบเครื่องมือการประเมิน, และ (4) คุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> งานวิจัยที่คัดเข้าทั้งหมด 12 งานวิจัย แบ่งได้เป็น 3 แบบประเมิน ได้แก่ Segmental Assessment of Trunk Control (SATCo), Trunk Impairment Scale (TIS), และ Trunk Control Measurement Scale (TCMS) ทั้ง 3 แบบประเมินถูกออกแบบมาเพื่อประเมินการควบคุมลำตัวเป็นหลักโดยมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันและมีค่าความน่าเชื่อถือที่หลากหลายในระดับดีถึงดีมาก</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> SATCo, TIS, และ TCMS มีวัตถุประสงค์และการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน TIS และ TCMS เหมาะสำหรับการประเมินในเด็กที่สามารถนั่งทรงตัวและให้ความร่วมมือได้ในระดับหนึ่ง เช่น มีระดับ Gross Motor Function Classification System (GMFCS) I-III หรือสามารถทำตามคำสั่งการทดสอบได้ ในขณะที่ SATCo ใช้ประเมินได้ในทุกระดับความสามารถ รวมถึงกลุ่มที่ไม่สามารถควบคุมลำตัวหรือมีข้อจำกัดเรื่องความเข้าใจได้ ทั้ง 3 แบบประเมินใช้เวลาในการทดสอบน้อย เข้าถึงง่าย และมีค่าความน่าเชื่อถือเหมาะสมกับการนำไปใช้ในทางคลินิก ทั้งนี้ผู้ที่สนใจใช้แบบประเมินควรมีการฝึกและทดสอบหาความน่าเชื่อถือของผู้วัดก่อนนำไปใช้ในคลินิก </p>2024-08-21T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารกายภาพบำบัดhttps://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjpt/article/view/267802The validity of fitness watches synced with an accelerometer for measuring spatiotemporal parameters during running2024-04-02T11:39:50+07:00Natthakitt Yongpradermnatthakitt_yo@cmu.ac.thChatchai PhirawatthakulChatchai.ph@cmu.ac.thJitapa Chawawisuttikoolsarunya.cha@cmu.ac.thOrawan Prasartwuthorawan.pr@cmu.ac.th<p><strong>Background:</strong> Fitness watches can track many metrics such as daily step counts, heart rate, and sleep quality, etc. When they synced with accelerometers can also provide valuable information about spatiotemporal parameters during running such as cadence, ground contact time, stride length, and vertical oscillation. To use these devices as research tools, an investigation is needed to determine their validity.</p> <p><strong>Objective:</strong> To validate spatiotemporal parameters derived from fitness watches and accelerometers compared to those same parameters obtained from a video gait analysis system such as walker view treadmill.</p> <p><strong>Methods:</strong> Thirty-four active runners who have had no leg injuries for the past 6 months were recruited (age 38.89±6.79 years, weight 64.17±10.62 kg, height 168.57±8.53 cm, and BMI 22.41±1.84 kg/m<sup>2</sup>). They wore fitness watches synced with an accelerometer and ran for 2 minutes on a walker view treadmill. This treadmill was used as a gold standard since it was equipped with a 3D camera, foot sensors, and a force platform. Spatiotemporal parameters from fitness watches synced with accelerometers were then compared to these same parameters that were obtained from a walker view treadmill.</p> <p><strong>Results:</strong> The validity of cadence, ground contact time, stride length, and vertical oscillation, indicated by the intraclass correlation (ICC 3,1) was 0.99, 0.94, 0.86, and 0.80, respectively. Cadence and ground contact time showed excellent validity while stride length and vertical oscillation demonstrated good validity.</p> <p><strong>Conclusion:</strong> Fitness watches synced with an accelerometer can provide good to excellent validity compared to a walker view treadmill when measuring spatiotemporal running parameters.</p>2024-08-21T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารกายภาพบำบัดhttps://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjpt/article/view/268155ประสิทธิผลและสัดส่วนของผู้ป่วยในโครงการการดูแลระยะกลางของแผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลอำนาจเจริญ2024-04-29T16:47:43+07:00กุลธิดา โมราkunthidamora@gmail.comเยาวราภรณ์ ยืนยงค์yao_y2008@hotmail.comสุกัลยา อมตฉายาsugalya.ama@gmail.com<p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong><strong>:</strong> แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลอำนาจเจริญ ได้เข้าร่วมโครงการการดูแลระยะกลาง (intermediate care หรือ IMC) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2563 แต่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อประกอบการตัดสินใจในการพัฒนาการบริการ IMC สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเป้าหมาย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาสัดส่วนของผู้ป่วย ระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล และประสิทธิผลของการให้บริการ IMC ของแผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลอำนาจเจริญ</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong>การวิจัยนี้ทบทวนบันทึกข้อมูลทางการแพทย์แบบย้อนหลังในปีงบประมาณที่ผ่านมา ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ลักษณะและจำนวนผู้ป่วย ระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล และคะแนนดัชนีบาร์เธลเอดีแอล ในวันแรกรับของแผนกฯ วันเริ่มต้นการรักษาในโครงการ IMC และวันสิ้นสุดการรักษาในโครงการ</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>จากข้อมูลผู้ป่วยตามเกณฑ์ทั้งหมด 87 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (65 ราย ร้อยละ 74.7) ตามด้วยผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก (15 ราย ร้อยละ 17.2) ผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง (4 ราย ร้อยละ 4.6) และผู้ป่วยบาดเจ็บสมอง (3 ราย ร้อยละ 3.5) ผู้ป่วยทั้งหมดมีระยะเวลารักษาในโรงพยาบาลเฉลี่ยประมาณ 1–2 สัปดาห์ หลังจากครบโปรแกรม IMC ผู้ป่วยทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยดัชนีบาร์เธลเอดีแอล เพิ่มขึ้นจาก 1.75–7.13 คะแนน เป็น13.33-17.06 คะแนน หรือมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.67–12.00 คะแนน (p<0.001) ทั้งนี้มีผู้ป่วยจำนวน 18 รายซึ่งได้ผลการประเมินดัชนีบาร์เธลเอดีแอล เต็ม 20 คะแนน ก่อนการรักษาครบ 20 ครั้ง ที่ยังคงได้รับการฟื้นฟูความสามารถต่อ เนื่องจากมีศักยภาพที่จะดีขึ้นแต่คะแนนดัชนีบาร์เธลไม่สามารถสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>ผลการวิจัยนี้ยืนยันความจำเป็นของการให้บริการแบบ IMC เนื่องจากระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาลสั้น โดยควรเพิ่มการประเมินที่เป็นตัวแปรและไม่มีเพดานเพื่อให้สามารถสะท้อนประสิทธิผลของการดูแลแบบ IMC ได้อย่างชัดเจน</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p> <p> </p>2024-08-21T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารกายภาพบำบัดhttps://he02.tci-thaijo.org/index.php/tjpt/article/view/269415ผลของการออกกำลังกายด้วยยางยืดผ่านสื่อออนไลน์แบบบูรณาการต่อกลุ่มอาการไม่สมดุล ของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบนในประชากรวัยทำงาน2024-07-04T11:31:17+07:00นนทลี สันตินิยมi.nonthalee@gmail.comธีรวิทย์ อินต๊ะปัญญาi.theerawith@gmail.com<p><strong>ที่มาและความสำคัญ</strong><strong>:</strong> การใช้สมาร์ทโฟนที่มากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดกลุ่มอาการไม่สมดุลของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบนในประชากรวัยทำงาน ซึ่งกระทบต่อคุณภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิต การศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการออกกำลังกายเพื่อปรับสมดุลการทำงานของโครงสร้างกล้ามเนื้อเป็นรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ผลกระทบจากภาวะโรคระบาดและปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้ต้องมีการปรับรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสม</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อสร้างและเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยยางยืดผ่านสื่อออนไลน์แบบบูรณาการต่อกลุ่มอาการไม่สมดุลของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบนในประชากรวัยทำงาน</p> <p><strong>วิธีการวิจัย</strong>: สร้างโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยยางยืดผ่านสื่อออนไลน์แบบบูรณาการซึ่งประกอบด้วยการออกกำลังกายร่วมกันในพื้นที่ร่วมกับการออกกำลังกายร่วมกันผ่านสื่อออนไลน์ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 0.98 คะแนน จากนั้นนำไปทดลองใช้ในกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นประชากรวัยทำงาน จำนวน 43 คน ที่มีกลุ่มอาการไม่สมดุลของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบน อายุเฉลี่ย 28.70±6.79 ปี แบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกายเป็นเวลา 6 สัปดาห์ จำนวน 21 คน และกลุ่มควบคุมที่ได้รับคำแนะนำด้านสุขภาพตามปกติ จำนวน 22 คน กลุ่มตัวอย่างทุกคนจะได้รับการประเมินค่าดัชนีความบกพร่องความสามารถของคอ มุมการยื่นของกระดูกคอ และความยาวของกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าอก ก่อนการทดลอง หลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 4 และ 6 วิเคราะห์ผลด้วยสถิติ One-way MANOVA ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> ค่าดัชนีความบกพร่องความสามารถของคอ มุมการยื่นของกระดูกคอ และความยาวของกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าอก มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยในกลุ่มทดลองมีดัชนีความบกพร่องความสามารถของคอ และมุมการยื่นของกระดูกคอดีกว่ากลุ่มควบคุมหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 4 และ 6 และความยาวของกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าอกทั้งข้างซ้ายและข้างขวามีค่าดีกว่ากลุ่มควบคุมหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่างภายในกลุ่มพบว่าในกลุ่มทดลองมีค่าดัชนีความบกพร่องความสามารถของคอดีขึ้นหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 4 และ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมุมการยื่นของกระดูกคอมีค่าดีขึ้นหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 6 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยยางยืดผ่านสื่อออนไลน์แบบบูรณาการเป็นเวลา 6 สัปดาห์ สามารถลดกลุ่มอาการไม่สมดุลของกล้ามเนื้อลำตัวส่วนบนในประชากรวัยทำงานได้</p>2024-08-21T00:00:00+07:00Copyright (c) 2024 วารสารกายภาพบำบัด