https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/issue/feed
วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย
2025-10-07T15:11:18+07:00
Assistant Prof. Dr. Rungrawee Navicharoen
rungrawee.n@stin.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย จัดทำขึ้นโดยสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย (เดิมชื่อ วิทยาลัยพยาบาลสภากาชาดไทย) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลและการผดุงครรภ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพการพยาบาล และเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของวิชาชีพการ พยาบาลและสภากาชาดไทย ขอบเขตของวารสารประกอบด้วย บทความวิชาการ บทความวิจัย การทบทวน งานวิจัย นวัตกรรมทางการพยาบาล มีกำหนดตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (มกราคม – มิถุนายน, กรกฏาคม – ธันวาคม)</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/272690
การพัฒนาโปรแกรมการพยาบาลในการให้การปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ ต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีสมาธิสั้น
2025-10-04T12:05:06+07:00
อารีย์ ชูศักดิ์
jjjchu@hotmail.com
ภัทราบูลย์ นาคสู่สุข
patrabulptt@gmail.com
เสาวลักษณ์ หมื่นสุนทร
saowaluknok51@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของโปรแกรมการพยาบาลในการให้การปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีสมาธิสั้นใช้กระบวนการพัฒนาโปรแกรมของไมเจลและคณะ 5 ระยะ ได้แก่ 1) การกำหนดปัญหา 2) การสำรวจความต้องการเนื้อหาและกิจกรรมที่ต้องการพัฒนาโปรแกรม 3) การออกแบบโปรแกรมการทดลอง 4) การตรวจสอบความตรง การประเมินความเป็นไปได้ และการยอมรับโปรแกรม และ 5) การทดสอบผลลัพธ์ของโปรแกรม กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยผู้ป่วยวัยรุ่นที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น จำนวน 62 ราย และผู้ปกครอง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 31 ราย ด้วยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการพยาบาลในการ ให้การปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ (ความตรงเชิงเนื้อหา CVI = 0.84) แบบประเมินความร่วมมือในการใช้ยา และแบบประเมินพฤติกรรมสมาธิสั้น (ค่าความเชื่อมั่น = 0.76, 0.82 ตามลำดับ) เก็บรวบรวมข้อมูลก่อนและภายหลังได้รับโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Ranks Test และ Mann-Whitney U-test</p> <p>ผลการวิจัย 1) การพัฒนาโปรแกรมการพยาบาลในการให้การปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีสมาธิสั้น เกิดจากการสำรวจปัญหาและการทบทวนวรรณกรรม ประกอบด้วย 7 กิจกรรม 2) กลุ่มทดลองภายหลังได้รับโปรแกรม มีคะแนนความร่วมมือในการใช้ยามากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและพฤติกรรมสมาธิสั้นลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) 3) คะแนนความร่วมมือในการใช้ยา และพฤติกรรมสมาธิสั้นของผู้ป่วยวัยรุ่นที่มีสมาธิสั้นระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้ Mann-Whitney U-test พบว่าไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05) ในทั้งสองตัวแปร สรุปได้ว่าโปรแกรมการพยาบาลในการให้การปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจสามารถช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการใช้ยาและลดพฤติกรรมสมาธิสั้นในกลุ่มวัยรุ่นสมาธิสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับรายบุคคล แม้ยังไม่พบความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม จึงควรมีการศึกษาต่อเนื่องในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ และในระยะเวลาติดตามผลที่ยาวนานขึ้น เพื่อยืนยันผลลัพธ์ในกลุ่มประชากร</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/272310
ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตนกับทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของครูผู้ดูแลเด็ก
2025-10-04T12:50:08+07:00
ศศิธร คำมี
sasithorn.ku@g.lpru.ac.th
วรรณ์วิการ์ ใจกล้า
wanwika@g.lpru.ac.th
ปิยธรณ์ เร่งเร็ว
piyathorn@g.lpru.ac.th
ฉัตรสุดา มาทา
chatsuda@g.lpru.ac.th
วิไลวรรณ กลิ่นถาวร
melody_pinkpink@g.lpru.ac.th
นันทรัตน์ มาตยาบุญ
dolporn.m@cmu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตน และทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของครูผู้ดูแลเด็ก และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนกับทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของครูผู้ดูแลเด็ก กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง จำนวน 85 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ทั้งหมดได้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ 6 ท่าน คือ 1) แบบประเมินความรู้ในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน มีค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.8 ค่าความเชื่อมั่น KR-20 เท่ากับ 0.79 2) แบบประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และ 3) แบบประเมินทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน มีค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา เท่ากับ 1.0 และ 1.0 ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.90 และ 0.83 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนความรู้ในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของครูผู้ดูแลเด็ก โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ (𝑥̅ = 4.71, S.D. = 1.65) คะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ (𝑥̅ = 15.07, S.D. = 9.18) และคะแนนทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับต่ำ (𝑥̅ = 7.24, S.D. = 3.28) 2) ความรู้มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (rs = .23, p < .05) และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (rs = .49, p < .001) ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการส่งเสริมความรู้ การรับรู้สมรรถนะแห่งตน และทักษะในการปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานของครูผู้ดูแลเด็กต่อไป</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/272867
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวลทางสังคมจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล
2025-10-07T15:11:18+07:00
ไพรัตน์ ผ่องแผ้ว
phairat_pho@dusit.ac.th
ณัฐสุดา คติชอบ
natsuda.chch@gmail.com
ปณวัตร สันประโคน
panawat.san@gmail.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาความวิตกกังวลทางสังคมจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ การเปรียบเทียบทางสังคม และการเสพติดการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ กับความวิตกกังวลทางสังคมในนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อายุ 18-37 ปี จำนวน 190 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ แบบสอบถามการเปรียบเทียบทางสังคม แบบทดสอบการเสพติด<br />การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ และแบบทดสอบความวิตกกังวลทางสังคมจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .80 .97.90 และ .97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์อย่างง่าย</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความวิตกกังวลทางสังคมในการใช้สื่อออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มีค่าเฉลี่ยโดยรวม เท่ากับ 2.79 (S.D. = 1.10) และอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะเดียวกันพฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ การเปรียบเทียบทางสังคม การเสพติดการใช้เครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความวิตกทางสังคมจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = .35, 49, .67, <em>p </em>< 0.01 ตามลำดับ) ผลการศึกษาสามารถนำไปคัดกรองความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต เรื่องความวิตกกังวลทางสังคมจากการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ การประเมินพฤติกรรมการใช้สื่อ การเปรียบเทียบทางสังคม และการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ในกลุ่มนักศึกษาพยาบาล</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/271404
ปัจจัยทำนายความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
2025-10-06T17:29:42+07:00
อรญา ศรีนารอด
oraya.sri@student.mahidol.ac.th
รัตติมา ศิริโหราชัย
Rattima.sir@mahidol.ac.th
นภาพร วาณิชย์กุล
Napaporn.wan@mahidol.ac.th
เชิดศักดิ์ ไอรมณีรัตน์
Cherdsak.ira@mahidol.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนใน 30 วัน ภายหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และปัจจัยทำนายความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนใน 30 วัน ภายหลังผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ซึ่งมาตรวจตามนัดภายหลังผ่าตัด 30 วัน ที่หน่วยตรวจโรคศัลยศาสตร์ผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จำนวน 143 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ได้แก่ ข้อมูลส่วนบุคคล ภาวะโภชนาการก่อนผ่าตัด การรับรู้การดูแลแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ความรอบรู้ด้านสุขภาพ และความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัด นำแบบประเมินการรับรู้การดูแลแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง ความรอบรู้ด้านสุขภาพ คำนวณค่าความเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคได้ 0.92 และ 0.95 ตามลำดับ ส่วนความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัด ได้นำไปหาค่าความเชื่อมั่นโดยการหาค่าความสอดคล้องของการใช้แบบคัดกรองระหว่างนักวิจัย 2 คน (inter-rater reliability) ได้ค่าความเชื่อมั่นภายใน (intraclass correlation coefficient) 0.94 และวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์ไบซีเรียล และสถิติการถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนภายหลังผ่าตัดอยู่ในระดับน้อย (Mean = 17.82, SD = 7.56) ภาวะโภชนาการก่อนผ่าตัด การรับรู้การดูแลแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง และความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถทำนายความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้ร้อยละ 28 (Adjusted R<sup>2 </sup>= 28, F<sub>(4, 138)</sub> = 14.60, <em>p</em> <.05) ทั้งนี้ภาวะโภชนาการก่อนผ่าตัด (β = -.28, <em>p</em> <.001) การรับรู้การดูแลแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง (β = -.28,<em> p</em> <.001) สามารถทำนายความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดได้มากที่สุด รองลงมาคือ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (β = -.24, <em>p</em> <.05)</p> <p>จากผลการศึกษาครั้งนี้ เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแนวทางในการส่งเสริมภาวะโภชนาการก่อนผ่าตัด การให้บริการแบบบุคคลเป็นศูนย์กลาง และความรอบรู้ด้านสุขภาพ ให้กับผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนใน 30 วัน หลังผ่าตัดต่อไป</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/272624
ปัจจัยทำนายสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุรอดชีวิตจากโควิด-19
2025-10-04T12:19:49+07:00
พุทธพร อ่อนคำสี
puttaporn@webmail.npru.ac.th
วริศรา ปองทอง
warisara2540@webmail.npru.ac.th
พนิตนันท์ แซ่ลิ้ม
esther@webmail.npru.ac.th
กมลภู ถนอมสัตย์
kamollabhu@webmail.npru.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาความสามารถในการทำนายระหว่างสุขภาวะองค์รวม ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และแรงสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุรอดชีวิตจากโควิด-19 อาศัยในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง 375 คน เครื่องมือวิจัยซึ่งใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุ แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ และแบบประเมินแรงสนับสนุนทางสังคม ซึ่งทุกเครื่องมือมีค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 1.0 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค 0.85, 0.95, 0.93, 0.84 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย และสถิติถดถอยพหุตัวแปร</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุรอดชีวิตจากโควิด-19 มีสุขภาวะองค์รวมมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับดีมากที่สุด (Mean = 3.74, S.D. = .35) ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับดีมาก (Mean = 4.41, S.D. = .54) พฤติกรรมสุขภาพมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดี (Mean = 3.81, S.D. = .49) แรงสนับสนุนทางสังคมมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับดีมาก (Mean = 4.43, S.D. = .47) สำหรับค่าการทำนายระหว่างสุขภาวะองค์รวม ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และแรงสนับสนุนทางสังคมของผู้สูงอายุรอดชีวิตจากโควิด-19 ร้อยละ 45.20 ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยพหุตัวแปรที่ทำนายสุขภาวะองค์รวมที่มีค่าสูงสุด คือ แรงสนับสนุนทางสังคม (beta = .37) รองลงมาความรอบรู้ด้านสุขภาพ (beta = .31) และพฤติกรรมสุขภาพ (beta = .23) ตามลำดับ</p> <p>สรุปได้ว่า ควรออกแบบโปรแกรมซึ่งประกอบด้วยการผสมผสานระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และแรงสนับสนุนทางสังคม เพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุรอดชีวิตจากโควิด-19</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/trcnj/article/view/271922
บทบาทของพยาบาลในหน่วยบริการสุขภาพของมหาวิทยาลัยต่อการป้องกัน การดูแล และการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในนักศึกษา: การทบทวนวรรณกรรม
2025-10-04T13:21:45+07:00
รชานนท์ สากล
rachanonskl@gmail.com
กวี ภัทรยุคลธร
kawee.ptr@gmail.com
พัด ประภาวิชา
phatPrp@au.edu
<p>ความชุกของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งในระดับโลกรวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การเรียนและคุณภาพชีวิต การทบทวนวรรณกรรมเชิงบูรณาการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุบทบาทของพยาบาลมหาวิทยาลัยในการป้องกัน การดูแล และการให้ความรู้ด้านสุขภาพทางเพศที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักศึกษา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นการสืบค้นวรรณกรรมเชิงบูรณาการจากฐานข้อมูล PubMed, CINAHL, Scopus และ ThaiJO ครอบคลุมช่วงปี ค.ศ. 2015–2025 โดยใช้กรอบแนวคิด PICO เกณฑ์การคัดเลือกคือ งานวิจัยที่กล่าวถึงบริการสุขภาพของมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการป้องกัน การดูแล และการให้ความรู้ด้านสุขภาพทางเพศแก่นักศึกษา ทั้งนี้ พบงานวิจัยที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 13 เรื่อง ซึ่งได้นำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบบทบาทสำคัญของพยาบาลมหาวิทยาลัย 3 ด้าน ได้แก่ 1) <strong>กลยุทธ์การป้องกัน</strong><strong>:</strong> ช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการ แม้ว่ากลุ่มนักศึกษาชายจะยังคงมีส่วนร่วมน้อย 2) <strong>การจัดกิจกรรมด้านการศึกษา</strong><strong>:</strong> ช่วยพัฒนาความรู้ ทัศนคติ ทักษะการเจรจาต่อรองเรื่องการใช้ถุงยางอนามัย และการเข้ารับการตรวจ 3) <strong>บริการเชิงสนับสนุน</strong><strong>:</strong> จะช่วยลดการตีตราและเพิ่มการเข้าถึงการใช้บริการสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเชื่อมโยงกับบริการสุขภาพจิตและการช่วยเหลือผู้ที่เผชิญความรุนแรงทางเพศ</p> <p><strong>สรุป:</strong> การทบทวนวรรณกรรมที่กล่าวมานี้เน้นให้เห็นถึงประสิทธิผลของการจัดบริการสุขภาพในมหาวิทยาลัยที่มีพยาบาลเป็นผู้นำและยึดนักศึกษาเป็นศูนย์กลาง องค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจคัดกรอง การให้ความรู้เรื่องเพศ การเข้าถึงถุงยางอนามัย การสนับสนุนจากเพื่อน คลินิกที่ครอบคลุม และการติดตามต่อเนื่อง งานวิจัยในอนาคตควรประเมินผลลัพธ์ระยะยาว ศักยภาพของระบบบริการ และความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์สุขภาพ</p>
2025-08-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย