วารสารหมอยาไทยวิจัย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm
แพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก แพทย์พื้นบ้าน
คณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
th-TH
วารสารหมอยาไทยวิจัย
3027-6942
-
การศึกษาฤทธิ์สารสกัดตำรับห้ารากต่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เดลต้า (SARS-CoV-2 Delta variant)
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/270944
<p>การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจทั่วโลก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินฤทธิ์ต้านไวรัสของสารสกัดสมุนไพรจากตำรับห้าราก ประกอบด้วยสมุนไพรห้าชนิด ได้แก่ ชิงชี่ ย่านาง คนทา เท้ายายม่อม และมะเดื่อ ชุมพร โดยใช้วิธีการทดสอบแบบ plaque reduction assay ในเซลล์เพาะเลี้ยง Vero cell line เพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Delta ผลการทดลองพบว่าสารสกัดตำรับห้ารากมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Delta ได้ อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดจำนวน plaque ได้เฉลี่ยร้อยละ 96.23 ที่ความเข้มข้นสูงสุดซึ่งไม่เป็นพิษต่อ เซลล์ (10 มก./มล.) ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมุนไพรไทยในการต้านไวรัส SARS-CoV-2 และอำจเป็น แนวทำงในการพัฒนายาสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสในอนาคต แม้ว่าผลการวิจัยจะเป็นที่น่าพอใจ แต่การศึกษาต่อเนื่องในระดับคลินิกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของสารสกัดสมุนไพรจากตำรับห้าราก รวมถึงการวิเคราะห์กลไกการออกฤทธิ์ในระดับโมเลกุล และการทดสอบกับไวรัสสายพันธุ์อื่น ๆ ที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน</p>
Wandee Meechalad
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
1
10
-
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus และ Escherichia coli ของสารสกัดหยาบจากกระชาย Boesenbergia rotunda (L.) Mansf.
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272702
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย <em>Staphylococcus aureus</em> (<em>S. aureus</em>) และ<em> Escherichia coli</em> (<em>E. coli</em>) และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging assay ปริมาณฟีนอลิกรวม ปริมาณฟลาโวนอยด์รวมของสกัดสารสกัดหยาบจากกระชายโดยใช้ตัวทำละลายที่มีขั้วต่างกันสองชนิด พบว่าสารสกัดหยาบจากกระชายที่สกัดด้วยเมทานอลได้ร้อยละผลผลิตมากกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ตัวทำละลายไดคลอโรมีเทน โดยให้ร้อยละของสารสกัดหยาบเท่ากับ 17.2 และ 9.8 ตามลำดับ สารสกัดหยาบจากกระชายที่ใช้ตัวทำละลายเมทานอลมีค่าเฉลี่ยบริเวณยับยั้งการเจริญได้ดีกับเชื้อแบคทีเรีย <em>S. aureus</em> ซึ่งมีค่าเท่ากับ 13.07±0.7841 mm เชื้อแบคทีเรีย <em>E. coli</em> ไม่แสดงบริเวณการยับยั้ง ในขณะที่ใช้ตัวทำละลายไดคลอโรมีเทนไม่แสดงบริเวณการยับยั้งกับเชื้อแบคทีเรียทั้งสองชนิด นอกจากนี้ยังคงพบว่าปริมาณฟีนอลิกรวม และปริมาณฟลาโวนอยด์รวมของสกัดสารสกัดหยาบจากกระชายโดยใช้ตัวทำละลายเมทานอล มีค่าเท่ากับ 1.220±0.072 mgGAE/gDW และ 2.543±0.106 mgQE/gDW ส่วนสารสกัดที่ได้จากตัวทำละลายไดคลอโรมีเทน เท่ากับ 1.270±0.014 mgGAE/gDW และ 3.512±0.027 mgQE/gDW ตามลำดับ</p>
จุฑามาศ ดวงกมล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
11
24
-
การวิเคราะห์องค์ความรู้ภูมิปัญญาตำรับยาแผนไทยในการรักษาภาวะนอนไม่หลับ: การศึกษาเชิงคุณภาพจากตำรายาแพทย์แผนไทย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/273650
<p>การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของบุคคลทำให้เกิดผลเสียในด้านร่างกาย จิตใจ สังคม อาชีพ และ เศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของร่างกาย พบว่าผู้ที่นอนไม่หลับมักจะมีอาการไม่สุขสบายต่าง ๆ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น และสับสน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลด้านการใช้สมุนไพรในตำรับยาไทยสำหรับรักษาโรคนอนไม่หลับและศึกษาโครงสร้างตำรับยาสมุนไพร โดยการสืบค้นจากตำรายา คัมภีร์การแพทย์แผนไทย และหนังสือต่าง ๆ ซึ่งสามารถรวบรวมตำรับยาได้ 27 ตำรับ มีสมุนไพรทั้งสิ้น 120 ชนิด โดยสมุนไพรส่วนใหญ่อยู่ในวงศ์ Apiaceae (7 ชนิด) สมุนไพรที่มีความถี่ของการรักษาโรคนอนไม่หลับที่พบมากที่สุด คือ เทียนแดง <em>(</em><em>Lepidium sativum</em> L.) คิดเป็นร้อยละ 4.87 ส่วนที่ใช้ในตำรับยามากที่สุด คือ ผล (21 ชนิด) ด้านรสยาที่พบมากที่สุด คือ รสขม (29 ชนิด) ในตำรับยาแก้โรคนอนไม่หลับมีการใช้ธาตุวัตถุมากถึง 7 ชนิดโดยธาตุวัตถุที่มีการใช้มากที่สุดคือ การบูร (<em>Cinnamomum camphora</em> (L.) J. Presl.) ผลจากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำองค์ความรู้จากการวิจัยนี้ไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการตั้งตำรับยารักษาโรคนอนไม่หลับได้ โดยเฉพาะการเลือกใช้สมุนไพรที่มีความถี่การใช้สูง หรือการเลือกสมุนไพรตามรสยาที่พบบ่อย</p>
panupan sripan
ชวลิต โยงรัมย์
สุวดี โชคชัยสิริ
รัมภ์รดา มีบุญญา
อรวรรณ วงษ์อนันต์
ณิชาพัฒน์ กนกสินวุฒิพงศ์
ศศิเพ็ญ ครุธชั่งทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
25
40
-
ประสิทธิผลของการใช้เจลสมุนไพรร่วมกับกระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้าต่อการลดอาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิของนักศึกษาสาขาการแพทย์แผนไทย คณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/274652
<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้เจลสมุนไพรร่วมกับกระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้าต่อการลดอาการปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิในนักศึกษาสาขาการแพทย์แผนไทย คณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 21 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เจลสมุนไพร กระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้า และแบบสอบถามประวัติการมีประจำเดือน ระดับความปวดประจำเดือนก่อน-หลัง และความพึงพอใจต่อการใช้เจลสมุนไพรร่วมกับกระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้า ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาค เท่ากับ 0.70, 0.95, 0.92 และ 0.70 ตามลำดับ คุณภาพของเครื่องมือมีค่า IOC รายข้อระหว่าง 0.67-1.00 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีประจำเดือนครั้งแรกอายุเฉลี่ย 10-12 ปี มีอาการปวดประจำเดือนในลักษณะปวดหน่วง การบรรเทาอาการด้วยการนอนพัก ผลการเปรียบเทียบระดับความปวดประจำเดือนก่อนและหลังการใช้เจลสมุนไพรร่วมกับกระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้า พบว่า อาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p<0.05 และนักศึกษามีความพึงพอใจโดยรวมในระดับมาก ( = 4.35, SD=0.17) โดยเฉพาะในด้านขั้นตอนการประคบและการดูแลสุขภาพด้วยเจลสมุนไพรร่วมกับกระเป๋าประคบร้อนระบบไฟฟ้า ( =4.76, SD=0.43) ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นวิธีการดูแลตนเองขณะปวดประจำเดือนได้ เพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือนและเพิ่มความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวัน</p>
สุภาวดี นนทพจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
-
การพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดต้นอ่อนทานตะวัน
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/275302
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาประสิทธิภาพต่อการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และ ABTS<sup>+. </sup>assay และปริมาณฟีนอลลิกรวมของสารสกัดจากต้นอ่อนทานตะวัน โดยพัฒนาสูตรตำรับ และศึกษาความคงสภาพด้วยสภาวะจริงและสภาวะเร่ง (Heating and Cooling) นำต้นอ่อนทานตะวันอายุครบ 9 วัน มาสกัดด้วยตัวทำละลาย 3 ชนิด ได้แก่ เอทานอลร้อยละ 70 เอทานอลร้อยละ 95 และน้ำ ผลการวิเคราะห์ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดต้นอ่อนทานตะวันที่สกัดด้วยน้ำให้ฤทธิ์ที่ดีที่สุด รองลงมาคือสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 95 และ 70 โดยมีค่า IC<sub>50</sub> อยู่ในช่วง 0.14 - 0.23 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี ABTS+. Assay พบว่า สารสกัดหยาบต้นอ่อนทานตะวันที่สกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ดีที่สุด รองลงมาคือสารสกัดด้วยเอทานอลร้อยละ 70 และ 95 โดยมีค่า IC<sub>50</sub> อยู่ในช่วง 0.04 - 0.08 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ส่วนผลปริมาณฟีนอลิกรวม พบว่า สารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ดีที่สุด รองลงมาคือ เอทานอลร้อยละ 70 และ เอทานอลร้อยละ 95 โดยมีปริมาณฟีนอลิกรวมเปรียบเทียบสารมาตรฐานกรดแกลลิก เท่ากับ 25.42 ± 0.04, 17.55 ± 0.01 และ 16.56 ± 0.22 มิลลิกรัมต่อกรัม ตามลำดับ (<em>P- value</em> = 0.02) นอกจากนี้ได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวจากสารสกัดหยาบต้นอ่อนทานตะวันโดยใช้ Carbopol 940 เป็นสารก่อเจล และเมื่อนำมาทดสอบด้วยสภาวะเร่ง พบว่าผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวจากสารสกัดหยาบต้นอ่อนทานตะวันสูตรที่ 4 (F4) มีเนื้อครีมที่ให้ความคงสภาพ เมื่อทดสอบภายใน 180 วัน มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทางด้านกายภาพและเคมี จึงมีความเหมาะสมในการนำสารสกัดหยาบจากต้นอ่อนทานตะวันมาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวได้</p>
ืnamphon Paenmueng
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
59
72
-
ความปลอดภัยและประสิทธิผลของการนวดไทยร่วมกับบาล์มตะไคร้หอม ต่ออาการปวดคอ บ่า ไหล่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272998
<p>การวิจัยการนวดไทยร่วมกับบาล์มตระไคร้หอมต่ออาการปวดคอบ่าไหล่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความปลอดภัย 2) ศึกษาประสิทธิผลในการบรรเทาอาการปวดและการเพิ่มองศาการเคลื่อนไหว และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของอาสาสมัคร เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มเดียว วัดซ้ำ 3 ครั้ง อาสาสมัครเป็นผู้ที่มีอาการปวดคอบ่าไหล่ระดับ 3 -5 จำนวน 31 คน ทำการคัดเลือกแบบเจาะจง ทำหัตถการโดยใช้วิธีการนวดไทยร่วมกับบาล์มตะไคร้หอม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูลอาสาสมัครประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล ระดับอาการปวด (Visual rating scale 1-10) องศาการเคลื่อนไหว อาการไม่พึงประสงค์ และความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนซ้ำ</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษา พบว่า อาสาสมัครเป็นเพศหญิง 20 คน เพศชาย 11 คน อายุเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 45.5 12.8 ปี ปวดคอ บ่า ไหล่ 3.96±0.89 วิธีการนวดไทยร่วมกับบาล์มตะไคร้หอมมี 1) ความปลอดภัยเนื่องจากอาสาสมัครไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ 2) มีประสิทธิผลต่อการลดระดับอาการปวดคอ บ่าไหล่ ระดับอาการปวดก่อนนวด ค่าเฉลี่ย 3.96 ± 0.89 ระดับอาการปวดหลังจากนวดครั้งที่ 1 ค่าเฉลี่ย 2.79±1.15 และระดับอาการปวดหลังการนวดครั้งที่ 2 ค่าเฉลี่ย 1.02±1.10 อาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) การวิเคราะห์องศาการเคลื่อนไหวของคอในทิศทางก้มหน้า เงยหน้า เอียงคอซ้าย และเอียงคอขวา พบว่า เพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของคอในทุกทิศทางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) 3) อาสาสมัครมีระดับความพึงพอใจสูงสุดต่อการนวดไทยร่วมกับบาล์มตะไคร้หอมในทุกด้าน ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 4.92±0.26 (คะแนนเต็ม 5) การนวดไทยร่วมกับบาล์มตะไคร้หอมเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลและความปลอดภัยสูงสำหรับการบรรเทาอาการปวดคอ บ่า ไหล่</p>
วัฒนา ชยธวัช
ศุภรัศมิ์ อัศวพรธนภัทร์
วิไลพร กิจวิมลรัตนา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
73
88
-
ผลการศึกษาการแช่เท้าด้วยตำรับยาสมุนไพรต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มารับบริการในคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลพนา จังหวัดอำนาจเจริญ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/274110
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบสามกลุ่มเปรียบเทียบก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบค่าความดันโลหิตก่อนและหลังการทดลอง 2) เปรียบเทียบค่าความดันโลหิตระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการแช่เท้าตำรับสมุนไพร ประกอบด้วย ผิวมะกรูด ตะไคร้หอม เหง้าขมิ้นชัน ใบมะขาม ใบเปล้าใหญ่ พิมเสน และเกลือสินเธาว์ ในกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีค่าความดันโลหิต ≥140/90 mmHg ที่มารับบริการคลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลพนา จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 150 คน คัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเลือก แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน ได้แก่ กลุ่มนั่งพัก 15 นาที กลุ่มแช่เท้าน้ำอุ่น 5 นาที และกลุ่มแช่เท้าสมุนไพร 5 นาที ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มแช่เท้าสมุนไพรมีค่าความดันโลหิตซิสโตลิกลดลงจาก 156.00 mmHg เป็น 133.48 mmHg ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>= 0.029) ขณะที่กลุ่มแช่เท้าน้ำอุ่นมีค่าความดันไดแอสโตลิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>= 0.002) แต่กลุ่มนั่งพักไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม พบว่าค่าความดันโลหิตซิสโตลิกในกลุ่มแช่เท้าสมุนไพรต่ำกว่ากลุ่มนั่งพักและแช่เท้าน้ำอุ่นอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>< 0.001) ความพึงพอใจต่อการแช่เท้าสมุนไพรอยู่ในระดับมาก ดังนั้น การแช่เท้าสมุนไพรด้วยระยะเวลา 5 นาที ในช่วงอุณหภูมิ 38–40°C สามารถช่วยลดค่าความดันโลหิตซิสโตลิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความพึงพอใจในระดับสูงแก่ผู้เข้าร่วม เป็นกิจกรรมทางเลือกอีกหนึ่งที่ปลอดภัย สามารถประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้ในระดับชุมชนและสถานบริการสุขภาพปฐมภูมิ</p>
ธานี สุขไชย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
89
106
-
ฤทธิ์ทางชีวภาพของสมุนไพรไทยในการต่อต้านเชื้อสเตรปโตค็อกคัส มิวแทนส์ เพื่อสุขอนามัยช่องปาก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/274458
<p>โรคฟันผุซึ่งมีสาเหตุหลักจากเชื้อ <em>Streptococcus mutans</em> ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพช่องปากระดับโลกที่สำคัญ ด้วยข้อจำกัดของสารต้านจุลชีพสังเคราะห์ เช่น ผลข้างเคียงและการดื้อยา ทำให้เกิดความสนใจในทางเลือกจากธรรมชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่มีการใช้ในด้านการดูแลช่องปากตามภูมิปัญญาแผนไทยมาอย่างยาวนาน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของสารสกัดสมุนไพรไทยต่อเชื้อ <em>Streptococcus mutans</em> โดยเน้นค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งการเจริญ (MIC) และค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่สามารถฆ่าเชื้อได้ (MBC) การทบทวนวรรณกรรมนี้ค้นคว้าจากข้อมูลจากฐานข้อมูล PubMed, ScienceDirect, Google Scholar และ ThaiJo สำหรับงานวิจัยที่เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2553 ถึง พ.ศ. 2567 โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกคือ งานวิจัยที่รายงานค่า MIC และ/หรือ MBC ของสารสกัดสมุนไพรไทยต่อเชื้อ <em>S. mutans</em> ด้วยวิธีการทดสอบต้านจุลชีพในหลอดทดลองมาตรฐาน ผลการทบทวนพบว่าสมุนไพรไทยหลายชนิดมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียต่อ <em>S. mutans</em> โดยเฉพาะ <em>Cinnamomum aromaticum</em>, <em>Syzygium aromaticum</em> และ <em>Ocimum basilicum</em> ซึ่งแสดงค่าการยับยั้งและฆ่าเชื้อในระดับต่ำ และมีอัตราส่วน MBC/MIC ที่บ่งชี้ถึงฤทธิ์ฆ่าเชื้อ อย่างไรก็ตาม พบความไม่สอดคล้องกันในวิธีวิจัยและข้อมูลทางคลินิกที่ยังมีจำกัดในแต่ละงานวิจัย โดยสรุป สารสกัดสมุนไพรไทยแสดงศักยภาพในการต้านเชื้อ <em>S. mutans</em> ในหลอดทดลอง ซึ่งสนับสนุนความเป็นไปได้ในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากจากธรรมชาติ ทั้งนี้ควรมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดมาตรฐานการทดสอบ ประเมินความปลอดภัย และพิสูจน์ประสิทธิผลทางคลินิกต่อไป</p>
กิรณา อิศรานุชีพ
ปริตตา วุฒิวงศ์
ญาดา นุกูล
อชิรญา อัศวเสถียรวงศ์
พิชญาภา ถาปาบุตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
107
118
-
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดสของตำรับยารักษาโรคเบาหวานกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ขนานที่ 9
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/275408
<p>โรคเบาหวานเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่ร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่ง และเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติในการเผาผลาญของร่างกาย ก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและวิเคราะห์ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกและ ฟลาโวนอยด์ของสารสกัดตำรับยารักษาโรคเบาหวานกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ขนานที่ 9 และสมุนไพรเดี่ยวในตำรับ โดยการสกัดสมุนไพรด้วยวิธีการหมักด้วยเอทานอล และการสกัดด้วยวิธีการต้มแบบดั้งเดิมสมัยโบราณ ซึ่งได้ทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, ABTS และ FARP จากการทดสอบพบว่าสารสกัดของตำรับชั้นเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดสที่มีค่า IC<sub>50 </sub>= 474.11 µg/mL ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH พบว่าเหงือกปลาหมอชั้นเอทานอลมีฤทธิ์ดีที่สุด IC<sub>50 </sub>= 14.73 µg/mL, วิธี ABTS พบว่าทองพันชั่งชั้นน้ำมีฤทธิ์ดีที่สุด IC<sub>50 </sub>= 22.38 µg/mL และการทดสอบวิธี FARP พบว่าทองพันชั่งชั้นน้ำมีฤทธิ์ดีที่สุดเท่ากับ 157.95 mg Trolox/g extract และ 336.99 mg Fe<sup>2+</sup>/g extract นอกจากนี้สารประกอบ ฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์สูงสุดที่ 239.96±3.06 mg GAE/g extract, 587.67 mg QE/g extract ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าตำรับยารักษาโรคเบาหวานกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ขนานที่ 9 มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดสและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นควรมีการศึกษาถึงผลข้างเคียงและความปลอดภัยของตำรับยาสมุนไพรเพื่อเป็นข้อมูลยืนยันในทางวิทยาศาสตร์ต่อไป</p>
Usa Pimpa
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
119
134
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการสั่งใช้ยาสมุนไพรตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ณ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/274912
<p> ประเทศไทยมีนโยบายในการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยในระบบสุขภาพ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้ายาและวัตถุดิบจำนวนมากจากต่างประเทศ แต่การใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาลของรัฐยังมีค่อนข้างน้อย ผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการสั่งใช้ยาสมุนไพร โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการสั่งใช้ยาสมุนไพรตามบัญชียาหลักแห่งชาติในผู้ป่วยนอก ระหว่างก่อนพัฒนาโปรแกรมฯ ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 - กันยายน 2566(12 เดือน) และช่วงหลังพัฒนาโปรแกรมฯ ระหว่างเดือนตุลาคม 2566 – กันยายน 2567 (12 เดือน) วิเคราะห์ผลด้วย สถิติเชิงพรรณนา โดยแสดงข้อมูลในรูปแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percent) ผลการวิจัยพบว่าหลังพัฒนาโปรแกรมฯ การสั่งใช้ยาสมุนไพรในผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.31 และมูลค่ารวมของการสั่งใช้ยาสมุนไพรในผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 90.48 ดังนั้นโปรแกรมส่งเสริมการสั่งใช้ยาสมุนไพรตามบัญชียาหลักแห่งชาติที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิผลในการเพิ่มมูลค่าการสั่งใช้ยาสมุนไพรในผู้ป่วยนอก ผู้บริหารหรือคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรสามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าในการสั่งใช้ยาสมุนไพรในสถานบริการได้</p>
สุริยนต์ มิ่งขวัญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
135
148
-
บทบรรณาธิการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/276325
สุภัทรา กลางประพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1
-
สารบัญ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/276326
<p>สารบัญ</p>
สุภัทรา กลางประพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2025-07-01
2025-07-01
11 1