วารสารหมอยาไทยวิจัย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm
แพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก แพทย์พื้นบ้าน
คณะแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
th-TH
วารสารหมอยาไทยวิจัย
3027-6942
-
บทบรรณาธิการ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272924
สุภัทรา กลางประพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
-
สารบัญ
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272925
<p>สารบัญ</p>
สุภัทรา กลางประพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
-
การพัฒนาและประเมินแผ่นไฮโดรเจลสำหรับตำรับยาประสะผิวภายนอก
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/268341
<p>คัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงโรคที่มีอาการไข้ ตัวร้อน มีผื่นที่ผิวหนัง และตำรับยารักษาอาการไข้ โดยตำรับที่น่าสนใจซึ่งมีวัตถุดิบที่หาได้ง่ายคือตำรับยาประสะผิวภายนอก ประกอบไปด้วย ใบย่านาง ใบมะขาม และเถาวัลย์เปรียง โดยการสกัดด้วยน้ำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของแผ่นแปะไฮโดรเจลที่มีส่วนผสมของเมือกเมล็ดแมงลัก พบว่าสูตรที่มี glycerin เป็น plasticizer ร้อยละ 10 และมีสารสกัดเมือกจากเมล็ดแมงลักร้อยละ 0.5 มีคุณสมบัติทางกายภาพในด้านสี พื้นผิว ความเนียนละเอียด และลักษณะเนื้อสัมผัสที่ดี คุณสมบัติทางเคมีแสดงค่า pH เป็นกลางและมีอัตราการบวมตัวสูงสุดเหมาะสมในการพัฒนาเป็นแผ่นแปะไฮโดรเจลลดไข้ที่มีสารสกัดจากสมุนไพรตำรับยาแปรไข้ร้อยละ 7.5 (%w/w) ดังนั้น แผ่นไฮโดรเจลที่มีสารสกัดจากสมุนไพรตำรับยาประสะผิวภายนอกอาจพัฒนาไปเป็นแผ่นลดอุณหภูมิเฉพาะที่ อย่างไรก็ตามควรศึกษาสารองค์ประกอบและฤทธิ์ชีวภาพที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความคงตัวของผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดในการทดลองทางคลินิกต่อไป</p>
รัชฎาพร พิสัยพันธุ์
พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
1
12
-
การศึกษาองค์ความรู้การรักษาโรคเบาหวานของหมอพื้นบ้านจังหวัดพะเยา
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/269830
<p>ในปัจจุบันองค์ความรู้ภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของประชาชนในชนบท โดยเฉพาะการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ความรู้การรักษาโรคเบาหวานด้วยยาสมุนไพรของหมอพื้นบ้านจังหวัดพะเยา โดยศึกษารวบรวมข้อมูลภูมิหลังการเป็นหมอพื้นบ้าน หลักการและแนวทางการรักษารวมทั้งตำรับยาที่ใช้รักษา ทำการคัดเลือกหมอพื้นบ้านโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างร่วมกับการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จากการศึกษาพบข้อมูลหมอพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จำนวน 5 คน เป็นเพศชายทั้งหมด มีอายุระหว่าง 68-90 ปี มีประสบการณ์ในการรักษาโรคเบาหวานมากกว่า 10 ปี มีแรงจูงใจในการเป็นหมอพื้นบ้านจากการเป็นทายาทผู้สืบทอด แนวคิดเกี่ยวกับโรคเบาหวานเกิดจากโรคหรืออาการ เจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกระทบกับธาตุทั้งสี่ส่งผลให้ร่างกายขาดความสมดุล เกิดขึ้นได้จากพฤติกรรมการรับประทานอาหารรวมถึงพันธุกรรม โดยกระบวนการการรักษาเริ่มจากการสอบถามอาการจากคำบอกเล่าของผู้ป่วย และทำการรักษาโดยการจ่ายยาในรูปแบบยาต้ม พบการใช้ยาตำรับจำนวน 6 ตำรับ ประกอบด้วยสมุนไพรทั้งสิ้น 17 ชนิด ค่าดัชนีความแพร่หลายของการใช้ประโยชน์จากพืช (RFC) พบว่า พืชที่มีค่าดัชนีรายงานความแพร่หลายของการใช้ประโยชน์จากพืชมากที่สุดคือ รางจืด พืชในวงศ์ Acanthaceae มีค่า RFC เท่ากับ 0.60 จากข้อมูลพื้นฐานการทบทวนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสมุนไพรในตำรับแต่ละชนิด สามารถนำมาใช้ในการศึกษาเพิ่มเติมในระดับสัตว์ทดลองและศึกษาในระดับคลินิก เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและประสิทธิผลรวมถึงความปลอดภัยของตำรับยารักษาโรคเบาหวานของหมอพื้นบ้านได้ในลำดับต่อไป</p>
ผาณิต ศรีสุทธะ
อรทัย เนียมสุวรรณ
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
13
30
-
การพัฒนาวิธีการสกัดไพลด้วยวิธีการทอดแบบน้ำมันท่วม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/270339
<p>สารสกัดน้ำมันไพลใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงยาแผนไทย ซึ่งมีสรรพคุณแก้ปวด แก้อักเสบของกล้ามเนื้อ ในการศึกษาครั้งนี้จึงทำการศึกษาเพื่อพัฒนาวิธีการสกัดไพลด้วยวิธีการทอดแบบน้ำมันท่วม และควบคุมคุณภาพโดยเปรียบเทียบระหว่างวิธีการสกัดไพลที่เตรียมด้วยวิธีการทอดแบบดั้งเดิมเป็นการทอดในกระทะและวิธีการทอดที่พัฒนาขึ้น คือ หม้อทอดไฟฟ้าควบคุมอุณหภูมิ พร้อมกับศึกษาและเปรียบเทียบต้นทุนของสารสกัดน้ำมันไพล และวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญในสารสกัดน้ำมันไพลด้วยเครื่องโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (HPLC) ในการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการสกัดไพล ได้ทำการทดลอง 4 วิธี ดังนี้ 1) การทอดแบบดั้งเดิม อุณหภูมิ <160 องศาเซลเซียส 2) การทอดด้วยหม้อทอดไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส 3) การทอดด้วยหม้อทอดไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส 4) การทอดด้วยหม้อทอดไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส ผลการศึกษา พบว่า การสกัดไพลโดยใช้หม้อทอดไฟฟ้าที่ควบคุมอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส สามารถเตรียมสารสกัดน้ำมันไพลได้ %yield (ผลผลิตร้อยละ) มากที่สุด คือ 41.26 และที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส พบสาร phenylbutanoids (compound D + DMPBD) มากที่สุด 0.493<u>+</u>0.003 %w/w และ DMPBD มากที่สุด 0.225<u>+</u>0.001 %w/w และพบว่า ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส พบ compound D มากที่สุด 0.276<u>+</u>0.003 %w/w แต่ได้ DMPD น้อยที่สุด 0.201<u>+</u>0.000 %w/w จากการวิเคราะห์ต้นทุนของสารสกัดน้ำมันไพล พบว่า สารสกัดน้ำมันไพลจากการทอดแบบดั้งเดิมมีต้นทุนน้อยที่สุด กิโลกรัมละ 317.60 บาท สารสกัดน้ำมันไพลที่ได้จากการทอดด้วยหม้อทอดไฟฟ้าที่อุณหภูมิ 80 100 และ 120 องศาเซลเซียส มีต้นทุนกิโลกรัมละ 461.91 บาท 463.20 บาท และ 460.20 บาท ตามลำดับ สรุปการพัฒนาวิธีการสกัดไพลด้วยวิธีการทอดแบบน้ำมันท่วมโดยใช้หม้อทอดไฟฟ้าควบคุมอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส จะได้สารสกัดน้ำมันไพลที่มี %yield และมีปริมาณของสาร phenylbutanoids และ DMPBD สูงสุด</p>
กรรณิการ์ จันทร์แก้ว
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
31
42
-
การพัฒนาสื่อแอปพลิเคชัน เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย สำหรับนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/270606
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้แอปพลิเคชัน เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย และเพื่อศึกษาผลการเรียนรู้จากแอปพลิเคชัน เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย ที่มีผลต่อนักศึกษา คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร สาขาการแพทย์แผนไทย ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี จำนวน 30 คน มีการจัดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ โดยวิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด ได้แก่ แอปพลิเคชัน เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย แบบทดสอบก่อนการเรียนรู้และหลังการเรียนรู้ เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ด้วยร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และสถิติทดสอบ (t-test) ผลการทดลองพบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย สำหรับนักศึกษา คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร สาขาการแพทย์แผนไทย ชั้นปีที่ 1 ในกลุ่มที่เรียนรู้โดยใช้แอปพลิเคชันภายหลังเรียน มีค่ามากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคะแนนเฉลี่ยความรู้เรื่อง รสยา 9 รส ทางเภสัชกรรมไทย สำหรับนักศึกษาคณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร สาขาการแพทย์แผนไทย ชั้นปีที่ 1 ภายหลังเรียนในกลุ่ม ที่เรียนรู้โดยใช้แอปพลิเคชันมากกว่ากลุ่มที่เรียนรู้โดยการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> </p>
กริษฐา ศรีสกุลปักษ์
วิไลภรณ์ ยอดสม
วราภรณ์ รัตนพาหิระ
ยอดมนู สายพรหม
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
43
56
-
การรักษาอาการผิดสำแดงในหญิงหลังคลอดของหมอพื้นบ้านในจังหวัดสุรินทร์
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/270827
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้และภูมิหลังของหมอพื้นบ้าน เกี่ยวกับการรักษาอาการผิดสำแดงในหญิงหลังคลอดในจังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษารูปแบบและขั้นตอนการรักษาอาการผิดสำแดงในหญิงหลังคลอดของหมอพื้นบ้าน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการรักษา การวิจัยเชิงคุณภาพนี้ใช้กรอบแนวคิดจากองค์ความรู้และกระบวนการรักษาโรคผิดสำแดงของหมอพื้นบ้าน ประชากรที่ศึกษาแบ่งเป็นหมอพื้นบ้าน 4 คน และผู้รับบริการ 20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์หมอพื้นบ้าน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) องค์ความรู้และกระบวนการรักษา องค์ความรู้ได้รับการถ่ายทอดจากผู้มีความรู้ เช่น บิดา ครูบาอาจารย์ และหมอพื้นบ้าน หมอพื้นบ้าน 4 คนที่ศึกษา มีความเชี่ยวชาญดังนี้ 2 คน เชี่ยวชาญด้านการรักษาอาการผิดสำแดงในหญิงหลังคลอด 1 คน เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับสตรี และ 1 คน เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคผิดสำแดง การวินิจฉัยเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และจับชีพจรก่อนการรักษา 2) ตำรับยาสมุนไพร รวบรวมสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการผิดสำแดงได้ 40 ชนิด โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ ยารักษากลุ่มอาการสูตินรีเวช ยารักษากลุ่มทางเดินอาหาร ยารักษาอาการไข้ ยารักษากลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูก ยารักษากลุ่มอาการทางเดินปัสสาวะ ยาถอนพิษเบื่อเมา ยาบำรุงธาตุและปรับธาตุ 3) ความพึงพอใจของผู้รับบริการ ผู้รับบริการมีความพึงพอใจสูงสุดใน 4 ด้าน ได้แก่ หมอพื้นบ้านผู้ให้บริการ กระบวนการรักษาและผลลัพธ์ การให้บริการ ความเหมาะสมของสถานที่</p>
สุชาวดี โต๊ะนาค
ถวัลย์ ฤกษ์งาม
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
57
68
-
การส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ด้วยกิจกรรมทางการแพทย์แผนไทย กรณีศึกษา จังหวัดนครศรีธรรมราช
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/270879
<p>การวิจัยกึ่งทดลอง รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและคุณภาพ ในอาสาสมัครผู้สูงอายุกลุ่มเดียวจำนวน 100 คนที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้าจำนวน 7 ข้อและเกณฑ์การออกจากโครงการจำนวน 3 ข้อ ประเมินก่อน-หลังเข้าร่วมการส่งเสริมคุณภาพชีวิตด้วยกิจกรรมทางการแพทย์แผนไทย วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับความรู้ของผู้สูงอายุก่อนและหลังการอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุก่อนและหลังการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจ ความต้องการนำไปใช้ประโยชน์ และความรู้ที่ได้จากการอบรมเชิงปฏิบัติการกับคุณภาพชีวิต</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าก่อนการศึกษาอาสาสมัครมีคุณภาพชีวิตโดยรวมในระดับปานกลาง เมื่อจบการศึกษาแล้วมีคุณภาพชีวิตโดยรวมในระดับดี มีระดับคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em><0.05) แรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการ (r=0.430) และความต้องการนำไปใช้ประโยชน์(r=0.502) มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( <em>p</em><0.05) แต่ความรู้ที่ได้จากการอบรมเชิงปฏิบัติการ ไม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (r=0.066, <em>p</em>>0.05)</p> <p>อย่างไรก็ตามอาสาสมัครสามารถเผยแพร่ความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม ขยายเครือข่ายในอัตราส่วนอาสาสมัคร : ผู้ได้รับการเผยแพร่จำนวน 1 ต่อ 30 คน ทั้งยังสามารถรวมกลุ่มกันผลิต น้ำมันนวดสมุนไพร จำนวน 2 ยี่ห้อ เริ่มจำหน่ายในท้องถิ่น การศึกษานี้แสดงให้เห็นได้ว่าผู้สูงอายุสามารถแสดงศักยภาพที่ชัดเจน สามารถต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อจำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพและสามารถประยุกต์การศึกษานี้ให้เหมาะสมกับบริบทของชุมชนผู้สูงอายุอื่นๆ ได้</p>
ลลิตา บุญศิลป์
ณัฐวรรณ วรพิสุทธิวงศ์
ประสิทธิ์ บุญไทย
ศศิธร ตัณฑวรรธนะ
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
69
84
-
ผลการใช้น้ำต้มใบมะละกอในผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำลายและมะเร็งเม็ดเลือดขาว ชนิดมัลติเพิลมัยอิโลมา : รายงานผู้ป่วย
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/271495
<p>โรคมะเร็ง เป็นโรคส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ผู้ป่วยจึงแสวงหาการรักษาทางเลือกเพื่อใช้ควบคู่กับการรักษาหลัก การใช้สมุนไพรจึงเป็นทางเลือกที่ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ง่าย หนึ่งในนั้น คือ ใบมะละกอ ที่มีสรรพคุณทางยาและพบได้ทั่วไป แต่ยังมีข้อมูลทางวิชาการในการรักษาโรคมะเร็งไม่เพียงพอ การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาย้อนหลังจากประวัติผู้ป่วย โดยวิธีการสัมภาษณ์และรวบรวมผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อบรรยายผลและความปลอดภัยเบื้องต้นของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำลายและมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิลมัยอิโลมา จำนวน 2 ราย ที่ใช้น้ำต้มใบมะละกอจากการเตรียมด้วยตนเอง รับประทาน 1 แก้วกาแฟ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า กลางวัน และเย็น ติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน หลังรับประทานผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำลายพบ ค่า eGFR ลดลงจากปกติเล็กน้อยจาก 96.00 เป็น 83.00 ml/min/1.73m<sup>2</sup> ค่า AST เพิ่มขึ้นจาก 34.00 เป็น 39.00 U/L ค่าเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นจาก 280,000 เป็น 301,000 cell/mm<sup>3</sup> ค่าคะแนนคุณภาพชีวิตและภาวะสุขภาพทางตรงเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัลติเพิลมัยอิโลมา พบ ค่า eGFR ดีขึ้นจาก 57.69 เป็น 61.75 ml/min/1.73m<sup>2</sup> ค่า AST เพิ่มขึ้นจาก 27.80 เป็น 32.00 U/L ค่าเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นจาก 145,000 เป็น 151,000 cell/mm<sup>3</sup> คะแนนคุณภาพชีวิตและภาวะสุขภาพทางตรงมีค่าเพิ่มขึ้น จึงสรุปได้ว่าผลจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการสอบถามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยทั้ง 2 ราย มีแนวโน้มค่าเกล็ดเลือดและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p>
พิมพ์ลดา พงศ์ชัยชานนท์
ปรีชา หนูทิม
ชุติวัต หยู่ทองอินทร์
กมลวรรณ บานชื่น
ศรีสุภัค นันทา
ปารัณกุล ตั้งสุขฤทัย
จักรเวทย์ ต้นแทน
ลักขณา รามวงศ์
ยุทธนา บุญกัน
เขมานันท์ จูมทอง
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
85
96
-
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และความสามารถในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ของสารสกัดเดี่ยวและสารสกัดผสมจากใบพญายอ ใบกระดูกไก่ดำ และใบหนาดใหญ่
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/271882
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ รวมถึงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย วิธี DPPH radical scavenging และความสามารถในการต้านเชื้อ <em>Staphylococcus aureus</em> และ <em>Escherichia coli</em> จากสารสกัดสมุนไพรเดี่ยว ผสมสองชนิดและผสมรวม 3 ชนิด จากใบพญายอ (<em>Clinacanthus nutans</em>), ใบกระดูกไก่ดำ (<em>Justica gendarussa</em>), และใบหนาดใหญ่ (<em>Blumea balsamifera</em>) ทดสอบปริมาณฟีนอลิกรวมทดสอบด้วยวิธี Folin-Ciocalteu โดยเทียบสารมาตรฐาน Gallic acid ทดสอบปริมาณฟลาโวนอยด์ทดสอบโดยวิธี Aluminium chloride colorimetric โดยเทียบกับสารมาตรฐาน Quercetin ประเมินฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทดสอบโดยวิธี DPPH เทียบกับสารมาตรฐาน Trolox และทดสอบความสามารถในการต้านเชื้อแบคทีเรียโดยวิธี broth dilution รายงานผลเป็นค่าความสามารถในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ (Minimum Inhibitory Concentration; MIC) และฆ่าทำลายเชื้อ (Minimum Bactericidal Concentration; MBC) ผลการวิจัยพบว่าใบหนาดใหญ่มีปริมาณสารฟีนอลิกรวม ฟลาโวนอยด์รวม และความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงสุดที่ 194.82 มิลลิกรัม(กรดแกลลิก)/กรัมของสารสกัด, 191.23 มิลลิกรัม(เควอซิทิน)/กรัมของสารสกัด, ร้อยละการยับยั้งอนุมูลอิสระที่ 56.99 ตามลำดับ และการผสมสารสกัดคู่ใบพญายอและใบหนาดใหญ่ และคู่ใบกระดูกไก่ดำและใบหนาดใหญ่ ให้ผลลัพธ์ในการต้านอนุมูลอิสระไม่แตกต่างทางสถิติ การทดสอบความสามารถในการต้านเชื้อ <em>S. aureus</em> และ <em>E. coli</em> พบว่าใบหนาดใหญ่และคู่ผสมใบพญายอและใบกระดูกไก่ดำมีค่า MIC ที่ 0.625 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร ผลการศึกษาชี้ให้เห็นศักยภาพของสมุนไพรเป็นแหล่งสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สำคัญ และสนับสนุนการใช้สมุนไพรผสมในตำรับตามการแพทย์แผนไทยและพื้นบ้านเพื่อการพัฒนาต่อไป</p>
สิรินภา จิระกิตติเจริญ
นัชชา มานักฆ้อง
ปฐม จูจันทร์
ธัมมะธิดา พัฒนพงศา
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
97
110
-
ประสิทธิผลการเผายาสมุนไพรในผู้สูงอายุโรคข้อเข่าเสื่อม
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272066
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง (Quasi-experiment) แบบวัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการเผายาสมุนไพรรักษาอาการปวดและอาการฝืดของข้อเข่า รวมถึงความสามารถในการใช้งานข้อเข่าของผู้สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ 20 คน ที่ผ่านการคัดกรองด้วยแบบประเมิน Oxford Knee Score คะแนนรวมที่ได้ 0 ถึง 29 แสดงว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง ใช้การรักษาด้วยการเผายาสมุนไพรเป็นเวลา 3 ครั้ง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไปและแบบประเมินข้อเข่าเสื่อม. Western Ontario and McMaster Universities Osteoarthritic Index (WOMAC score) ฉบับภาษาไทย สมุนไพรที่ใช้คือ เหง้าไพล ขมิ้น ขิง ข่า กระชาย และตะไคร้ รวมกันในสัดส่วน 100 กรัมต่อข้อเข่า 1 ข้าง พร้อมน้ำมันไพลและเกลือ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 ใช้สถิติร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การทดสอบ Paired sample T-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนแบบประเมินข้อเข่าเสื่อมก่อนและหลังการรักษา ผลการทดลองพบว่า การเผายาสมุนไพรช่วยลดระดับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อม เช่น ความปวดของข้อเข่ามีค่าคะแนนแบบประเมินข้อเข่าเสื่อมลดลงจากค่าเฉลี่ย 5.76 ± 0.99 เป็น 3.07 ± 0.93 (<em>p</em> < 0.01)</p>
อรัญญา แสงงาม
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
111
126
-
การศึกษาองค์ความรู้ตำรับยาส้มของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/272326
<p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ความรู้ตำรับยาส้มของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกี่ยวกับหลักการใช้ยา กลไกลการเกิดโรค หลักการรักษา และมีพระสงฆ์เป็นการสืบทอดองค์ความรู้ การเก็บรวบรวมองค์ความรู้ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบมีโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้าง การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและแบบไม่มีส่วนร่วม การจดบันทึก ผลการศึกษา พบว่า ธาตุวัตถุใช้ในตำรับยา ได้แก่ โพแทสเซียมอะลัม, โพแทสเซียมไนเตรท, โซเดียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟต ใช้ภายในร่างกาย ยาส้มผสมน้ำ ใช้ภายนอกร่างกาย ทาแผล ยาส้มผสมน้ำส้ม มีผู้สืบทอด ดังนี้ 1. พระครูปลัด กิติต ปาโล ธาตุวัตถุใช้ในตำรับ ได้แก่ โพแทสเซียมอะลัม, โพแทสเซียมไนเตรท, โซเดียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟต ใช้ภายในร่างกาย สูตรยาส้มผสมน้ำ สูตรยาส้มผสมน้ำหวาน สูตรยาส้มผสมน้ำผึ้ง ใช้ภายนอกร่างกาย ยาส้มผสมน้ำส้ม 2. พระคำผา ฐานสโม สืบ ธาตุวัตถุใช้ในตำรับ ได้แก่ โพแทสเซียมอะลัม, โพแทสเซียมไนเตรท, โซเดียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟต ใช้ภายในร่างกาย ยาส้มผสมน้ำ ยาส้มผสมน้ำผึ้ง ใช้ภายนอกร่างกาย ยาส้มผสมน้ำส้ม 3. พระภัทรพล ปัญญาวโล ธาตุวัตถุใช้ในตำรับ ได้แก่ โพแทสเซียมอะลัม, โพแทสเซียมไนเตรท, โซเดียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟต และอีกตำรับ ได้แก่ โพแทสเซียมอะลัม, โพแทสเซียมไนเตรท, โซเดียมคลอไรด์ และคอปเปอร์ซัลเฟต ซัลเฟอร์ และเรียลการ์ ใช้ภายในร่างกาย ยาส้มผสมน้ำ ยาส้มผสมน้ำผึ้ง ใช้ภายนอกร่างกาย ยาส้มผสมน้ำส้ม</p>
ฉลองรัฐ ทองกันทา
ชลชิด คำพันธ์
นิพนธ์ แก้วต่าย
ชวกร ขวัญทองห้าว
นิศารัตน์ ก้อนต๊ะเสน
Copyright (c) 2024 วารสารหมอยาไทยวิจัย
2024-12-30
2024-12-30
10 2
127
146