วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou <p>วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ใช้ระบบ ThaiJO เป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) โดยใช้ platform ของระบบ Open Journal System (OJS) ที่ศูนย์ดัชนี การอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index Center: TCI) นำมาติดตั้งเพื่อให้บริการกับวารสารวิชาการไทย รูปแบบของการใช้งาน ThaiJO เป็นระบบ web-based application ที่ผู้ใช้สามารถ ทำงานได้เพียงเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต โดยเรียกใช้งานผ่านโปรแกรม web browser ของผู้ใช้ เช่น Google Chrome, Firefox หรือ Internet Explorer เป็นหลัก</p> en-US <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น</p> ubruphjou@ubru.ac.th (วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี) ubruphjou@ubru.ac.th (วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี) Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/277313 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/277313 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้โปรแกรมชุดช่วยเหลือใส่ใจในการใช้ยาในผู้ป่วยเรื้อรังกลุ่มผู้สูงอายุต่อพฤติกรรมการรับประทานยาโรคเรื้อรัง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270529 <p>วิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้ยาของผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังระหว่างก่อนและหลังใช้โปรแกรมในกลุ่มทดลอง และ เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้ยาของผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน โดยการสุ่มอย่างง่าย ได้กลุ่มตัวอย่าง 70 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน กลุ่มควบคุม 35 คน ระยะเวลาทดลองระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2567 เครื่องมือที่เป็นแบบสอบถามประเมินพฤติกรรมการใช้ยา และโปรแกรมช่วยเหลือใส่ใจในการใช้ยาในผู้ป่วยเรื้อรังกลุ่มผู้สูงอายุ วิเคราะห์ใช้สถิติพรรณนา Chi-square, Fisher exact test, Independent t -test, Wilcoxon Signal Rank test, และ Man Witney u test </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ผู้สูงอายุในกลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการใช้ยาเรื้อรังที่เหมาะสมสูงขึ้น(Mean=110.57 ,SD=5.34)กว่าก่อนทดลอง(Mean=84.34 ,SD=11.24)อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .001 และมีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมกรรมการใช้ยาที่เหมาะสมสูงขึ้นหลังการทดลอง(Mean=110.57 ,SD=5.34)สูงกว่ากลุ่มควบคุม(Mean=82.51, SD=12.18)อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> <p> ฉะนั้น ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังในคลินิกและในชุมชนสามารถนำรูปแบบชุดโปรแกรมชุดช่วยเหลือใส่ใจในการใช้ยาต่อพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังไปดูแลผู้ป่วยได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลเรื่องการรับประทานยาของผู้ป่วยได้</p> อุส่าห์ สุทธิชยาพิพัฒน์, กิติพร เนาว์สุวรรณ, บุญประจักษ์ จันทร์วิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270529 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความรู้และการรู้เท่าทันผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุในตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองขอนแก่น https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270686 <p>การศึกษาแบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้และการรู้เท่าทันผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ของผู้สูงอายุในตำบลบึงเนียม อำเภอเมืองขอนแก่น ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิง ร้อยละ 64.50 อายุเฉลี่ย 69.10 ปี (S.D.=7.65) อายุต่ำสุด 60 ปี สูงสุด 93 ปี จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 79.50 มีโรคประจำตัว ร้อยละ 53.50 ใช้ยาประจำ ร้อยละ 46.50 ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 47.50 ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 21.10 (S.D.=4.65) การรู้เท่าทันผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ พบว่า การรู้เท่าทันผลิตภัณฑ์สุขภาพ อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 77.50 ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 20.55 (S.D.=2.69) และการรู้เท่าทันการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 55.00 ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 14.43 (S.D.=1.66)</p> <p> ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการรู้เท่าทันการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ด้วยวิธีการที่หลากหลายและเหมาะสมกับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถดูแลและป้องกันตนเองจากการถูกหลอกลวงผ่านสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> นวรัตน์ เชื้อกุล, เมธาวี อบมาสุ่ย, เจตนิพิฐ สมมาตย์, พิมพ์ศิริ อุยวัฒนกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270686 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพยากรณ์มูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบงใต้ จังหวัดสกลนคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270718 <p>การวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อทำนายมูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรปีงบประมาณ 2567 ด้วยแบบจำลองตามทฤษฎีระบบเกรย์ เก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากมูลค่าการจ่ายยาสมุนไพร ปีงบประมาณ 2560 ถึง 2566 จำนวน 7 ปี ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบงใต้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การพยากรณ์เชิงปริมาณรูปแบบอนุกรมเวลา (Time-series models) และยืนยันความแม่นยำของตัวแบบโดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าผลจากการพยากรณ์มูลค่าการจ่ายยาสมุนไพรในปีงบประมาณ 2567 ด้วยวิธีระบบเกรย์แบบจำลอง GM(1,1) ได้มูลค่าสมุนไพร 229,323 บาท มีค่าเฉลี่ยร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (Mean Absolute Percentage Error; MAPE) ที่ 20.26 อยู่ในเกณฑ์มีเหตุผลพอที่จะใช้พยากรณ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566 ร้อยละ 38.48 ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบของข้อมูลสถิติการจ่ายยาสมุนไพรในแต่ละปีงบประมาณที่เป็นลักษณะฟันเลื่อยตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 ดังนั้นในปีงบประมาณ 2567 ควรเพิ่มขึ้น เนื่องจากในปีงบประมาณ 2566 ลดลง ข้อเสนอแนะสำหรับผลการศึกษานี้คือให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านบงใต้สามารถนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเตรียมยาสมุนไพรที่จ่ายยาอันดับต้น ๆ จากข้อมูลที่ผ่านมาเพื่อให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงานในพื้นที่</p> จิตรลดา ทาตาสุข, วัฒนา ชยธวัช, สาคร คำเพราะ, ภักศจีภรณ์ ขันทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270718 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยง ตำบลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270403 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฎการณ์วิทยาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ ตำบลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร วิธีการศึกษาโดยศึกษาสถานการณ์ปัญหาบริบทการดำเนินงาน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์และการสนทนา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา กลุ่มตัวอย่างมีการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลไทยเจริญ, ผู้ใหญ่บ้าน, กำนันตำบลไทยเจริญ,ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รับผิดชอบงานโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จากโรงพยาบาลและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ, แกนนำชุมชน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในเขตพื้นที่ตำบลไทยเจริญมีสาเหตุจาก 1)วัฒนธรรมค่านิยมในการบริโภคอาหาร มีการรับประทานอาหารรสหวานมันเค็ม ทานอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ความรู้ได้รับจากเจ้าหน้าที่และสื่อต่างๆ บุคคลากรด้านสุขภาพ มองปัญหาตามข้อมูลเชิงปริมาณและตามตัวชี้วัดมากกว่าการศึกษาบริบทชีวิตที่แท้จริง ทำให้แต่ละปีมีการคัดกรองสุขภาพ พบกลุ่มเสี่ยงสูงโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นทุกปี 2) ลักษณะการประกอบกิจวัตรประจำวันและกิจกรรมการออกกำลังกาย วิถีชุมชน ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป ประกอบอาชีพนอกบ้าน ขาดการออกกำลังกายและความใส่ใจสุขภาพ<br />3) วัฒนธรรมค่านิยมในในการดูแลตนเองการดูแลสุขภาพของประชาชน การดูแลตนเอง,ผ่านแกนนำและเข้าระบบการรักษา <br />4) ระบบสาธารณสุข มีแนวทางแก้ไขคือ มีแผนยุทธศาสตร์อำเภอแบบไร้ร้อยต่อควบคู่กับการมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ระดับตำบล (พชต.) ในการขับเคลื่อนงานในพื้นที่</p> <p>สรุป การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ สะท้อนเห็นความสัมพันธ์ของด้านสังคม วัฒนธรรม ที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสุขภาพการเกิดโรคเรื้อรัง ควรจัดบริการสุขภาพเน้นกิจกรรมเชิงรุกให้มากขึ้นและให้ต่อเนื่อง เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง และได้ทราบปัญหาสุขภาพของแต่ละพื้นที่ บริบท และรายบุคคล นำไปสู่การแก้ปัญหา และการกำหนดนโยบายสาธารณะให้การดูแลกลุ่มเสี่ยงในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป</p> ศศิวิมล ป้องเพชร, มณฑิชา รักศิลป์, วิลาวัลย์ ชาดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/270403 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อการควบคุมน้ำหนักของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน อำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271000 <p>การศึกษากึ่งทดลองครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อการควบคุมน้ำหนักของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน อำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ทำการศึกษาแบบสองกลุ่มวัดผลสองครั้ง (Equivalent pretest - posttest control groups design) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ทั้งชายและหญิง ที่มีภาวะโภชนาการเกิน จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน คือ นักเรียนโรงเรียนวัดบ้านหินแห่และโรงเรียนวัดบ้านดอนโก่ย และกลุ่มควบคุม 30 คน คือ นักเรียนโรงเรียนวัดบ้านสีดา ตำบลสีดา อำเภอสีดา จังหวัดนครราชสีมา ทำการทดลอง ระยะเวลา 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ Dependent t-test (Paired Sample t-test) Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษา ภายหลังการทดลอง พบว่า กลุ่มทดลอง ภายหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนการรับรู้ความสามารถแห่งตน (Mean diff=3.10, 95%CI: 1.71-4.48, p&lt;0.001) และ ความคาดหวังในผลลัพธ์ (Mean diff=3.16, 95%CI: 1.47-4.86, p = 0.001) ดีกว่าก่อนการทดลอง และ ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักที่ลดลง (Mean diff = 0.55, 95%CI: 0.03–1.08, p = .039) ดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ภายหลังการทดลอง พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถแห่งตน (Mean diff=2.97, 95%CI: 2.04-3.88, p&lt;0.001) และ ความคาดหวังในผลลัพธ์ (Mean diff=2.93, 95%CI: 1.46-4.40, p&lt;0.001) กลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ทั้งนี้ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน (Mean diff=1.58, 95%CI: -0.43 to 3.59, p=0.121) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ดังนั้น ควรพิจารณานำโปรแกรมดังกล่าวไปใช้ดำเนินงานเพื่อควบคุมภาวะโภชนาการเกินในเด็กวัยเรียนต่อไป</p> <p><strong> </strong></p> ชลธิรา ชนภัณฑารักษ์, อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271000 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271051 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ประชากรคือนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ระดับปริญญาตรี ภาคปกติ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 คณะ 1 วิทยาลัย สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 113 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ช่วงเดือนมีนาคม 2567 ถึง เดือนเมษายน 2567 วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการประมาณค่าช่วงเชื่อมั่นที่ 95% Confidence interval วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson's Correlation Coefficient)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าความรู้ไม่มีความสัมพันธ์กับทัศนคติ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และพบว่า ใน 1 เดือนที่ผ่านมานักศึกษา 7 ใน 10 คน มีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก โดยมีระดับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก อยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 2.46, SD= 1.46) (95%CI; 2.19, 2.73) มีความรู้อยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 84.96 (95%CI; 10.17, 10.91) และมีทัศนคติอยู่ในระดับดี (Mean = 3.90, SD= 1.07) (95%CI; 3.70,4.09)</p> <p>ผลการวิจัยนี้มีประโยชน์ในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ในการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาที่มีความรู้สูง แต่ยังมีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในระดับปานกลาง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับการรับรองหรือจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ การที่ทัศนคติของนักศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแสดงให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนทัศนคติสามารถช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ปลอดภัย ซึ่งการให้ข้อมูลและการส่งเสริมการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เป็นวิธีการที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างไม่ถูกต้อง</p> วิรยา บุญรินทร์, สุพัตรา ขันชัย, ศิริวรรณ วรครุธ, สุพรรษา ดวลสูง, แสงระวี ฮวดสี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271051 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลการนวดกดจุดสัญญาณและการแช่เท้าสมุนไพรต่ออาการชาเท้าในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271296 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการนวดกดจุดสัญญาณและการแช่เท้าสมุนไพรต่ออาการชาเท้า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านควนเกย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 คำนวณจากโปรแกรม G*Power ได้ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบประเมินอาการชาเท้า เครื่องตรวจ Monofilament และอุปกรณ์ในการนวดกดจุดสัญญาณและการแช่เท้าสมุนไพร ตรวจสอบเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน มีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 ได้ค่าความเชื่อมั่นแอลฟ่าครอนบาช เท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test</p> <p>ผลของการศึกษาพบว่า เมื่อเปรียบเทียบอาการชาบริเวณเท้าของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หลังการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยอาการชาที่ฝ่าเท้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) โดยก่อนมดลองมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 5.27 คะแนน (S.D.=1.55) หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.37 คะแนน (S.D.=1.45)</p> <p>ดังนั้น หน่วยงานสาธารณสุขสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการฟื้นฟูอาการชาในผู้ป่วยเบาหวาน ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจนกระทบกับการดำรงชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานต่อไปในอนาคต</p> ธัญรดา ฤทธิธาธร, กิตติพร เนาว์สุวรรณ, นภชา สิงห์วีรธรรม, บุญประจักษ์ จันทร์วิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271296 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของสื่อเพลงป้องกันมะเร็งเต้านมต่อความรู้และความพึงพอใจ ในผู้รับบริการ โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271416 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบเปรียบเทียบ 2 กลุ่มวัดผลก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสื่อเพลงป้องกันมะเร็งเต้านมต่อความรู้และความพึงพอใจของผู้รับบริการสตรีโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี ทำการศึกษาในผู้มารับบริการในโรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี จำนวน 56 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 28 คน และทำการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อคัดเลือกเข้าเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ สื่อเพลงป้องกันมะเร็งเต้านมที่พัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม โดยเลือกเฉพาะประเด็นสำคัญซึ่งครอบคลุมแนวทางการป้องกันมะเร็งเต้านมขององค์การอนามัยโลกครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การจัดการความเครียดที่เหมาะสมและการตรวจเต้านมด้วยตนเอง มาประยุกต์ขับร้องร่วมกับดนตรีที่มีความทันสมัย 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านม และแบบประเมินความพึงพอใจ โดยเครื่องมือทั้งหมดได้ผ่านการประเมินคุณภาพของเครื่องมือมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา CVI เท่ากับ .95 .90 และ .97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบทีคู่และทีอิสระ กำหนดนัยสำคัญที่ ระดับ 0.05 </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นจาก 7.96 (SD=1.89) เป็น 11.89 (SD=1.55) ซึ่งสูงกว่าก่อนทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีคะแนนเฉลี่ย 8.04 (SD=0.33) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.001) ในด้านความพึงพอใจ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ 4.25 (SD=0.52) สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่มีค่าเฉลี่ย 2.15 (SD=0.48) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.001) เมื่อพิจารณาความพึงพอใจรายด้านในกลุ่มทดลอง พบว่าด้านที่มีความพึงพอใจสูงสุดคือโดยรวมทั้งเนื้อหาและทำนองเพลง (Mean=4.65, SD=0.47) รองลงมาคือด้านความง่ายในการทำความเข้าใจ (Mean=4.46, SD=0.49) ส่วนด้านที่มีความพึงพอใจน้อยที่สุดคือความครอบคลุมของเนื้อหาเกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งเต้านม (Mean=3.84, SD=1.02)</p> <p>ดังนั้นผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าการให้สุขศึกษาผ่านสื่อเพลงป้องกันมะเร็งเต้านมที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพ ช่วยให้ผู้รับบริการสตรีสามารถเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความน่าสนใจได้มากกว่าการให้ข้อมูลในรูปแบบเอกสาร ซึ่งหน่วยงานได้มีการนำสื่อจากการวิจัยนี้มาใช้จริงโดยประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายทุกวันและจัดทำเป็นวิดีทัศน์เผยแพร่ลงโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มยูทูป จึงควรประยุกต์วิธีการให้สุขศึกษาผ่านสื่อเพลงไปใช้ในการให้ข้อมูลในโรคอื่นๆ ต่อไป</p> สายรุ้ง ประกอบจิตร, โสภิต ทับทิมหิน, ชลิยา วามะลุน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/271416 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของพนักงานทำความสะอาด ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/272293 <p>ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตราย แต่ก็มีส่วนประกอบที่อันตรายต่อความเสี่ยงจากสิ่งคุกคามทางเคมี มีระดับความเสี่ยงสูง มีโอกาสเกิดอันตรายได้บ่อยครั้ง ซึ่งพนักงานทำความสะอาดในมหาวิทยาลัย เป็นกลุ่มหนึ่งที่เสี่ยงต่อการรับสัมผัสอันตรายจากสารเคมี เนื่องจากมีหน้าที่ดูแลรักษาทำความสะอาดและต้องสัมผัสสารเคมีในเวลาปฏิบัติงาน โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดของพนักงานทำความสะอาดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดผลต่อสุขภาพ วิธีการศึกษาเป็นนการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ดำเนินการที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักความสะอาดภายในมหาวิทยาลัยทั้งหมด 25 คน ในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2567 การศึกษานี้ทำการรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามได้แก่ข้อมูลทั่วไป ความรู้เรื่องสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทัศนคติและพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งอธิบายข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันตรงเองในการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดด้วยการวิเคราะห์ Spearman’s Rank Correlation</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 96.0 มีอายุเฉลี่ย 47.5 ± 7.5 ปี มีประสบการณ์ในการทำงานเฉลี่ย 5.6 ± 4.0 ปี มีความรู้เรื่องสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 60.0 (x̄=12.32 และ S.D.=2.17) มีทัศนคติเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 72.0 (x̄= 33.00 และ S.D.=3.05) มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการป้องกันตนเองในการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่ในระดับในระดับสูง ร้อยละ 96.0 (x̄=39.00 และ S.D.=2.06) และพบว่าระดับการศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมการป้องกันตนเองของพนักงานทำความสะอาด (r=0.44, p&lt;0.05) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพนักงานทำความสะอาดส่วนใหญ่มีการรับรู้ความเสี่ยงและพฤติกรรมในการป้องกันตนเองอยู่ในระดับสูง แต่การส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานจากสารเคมีทำความสะอาด เป็นสิ่งที่ทางมหาวิทยาลัย ตลอดจนบริษัทรับจ้าง ควรให้ความสำคัญ และทำให้มีการทำงานที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น</p> ชัยวัฒน์ เผดิมรอด, ทรายทอง สันติธานี, กวินธิดา เดี่ยวสายชล, จารุชา สะอิ้งทอง, ธีร์ชญาน์ เกียรติชัยยุส, พิชชาพร ศรสุรินทร์, เพชรลดา นาคขาว, ฟารีดา ทองหล่อ, วสิษฐ์พล หนูชนะภัย, เสาวนีย์ ภักดีสุข, ปุณยาพร กลั่นสุคนธ์, พัชร์สิริ ศรีเวียง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/272293 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 Awareness, Risk Perception of health effects of global warming among high school students in Bangkok https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/272601 <p>Global warming has significant health impacts, including heat-related illnesses, respiratory conditions, and the spread of vector-borne diseases. Understanding and addressing youth awareness and risk perception is essential, as young people are both vulnerable to these impacts and key agents of change. This study aimed to assess awareness and risk perception regarding the health effects of global warming among high school students in Bangkok and to identify significant predictors influencing their risk perception.</p> <p>A cross-sectional survey was conducted between August 12 and September 27, 2024, using a validated questionnaire. A total of 363 high school students participated, and their responses were analyzed using descriptive and inferential statistics, including linear regression analysis. The results showed that 81.82% of students demonstrated a good level of knowledge about the health effects of global warming, but 62.53% had difficulty understanding its indirect impacts, such as the spread of mosquito-borne diseases. Overall, 51.24% of participants exhibited a high level of risk perception, 41.05% had a moderate level, and 7.71% had a low level.</p> <p>Regression analysis identified knowledge as the strongest predictor of risk perception (B = 0.238, p &lt; 0.001), explaining approximately 23.8% of the variance. Other significant predictors included gender (15.2% influence, p &lt; 0.01), class level (10.7%, p &lt; 0.01), household income (17.1%, p &lt; 0.01), and participation in environmental activities (10.2%, p &lt; 0.05).</p> <p>These findings underscore the need for targeted educational interventions that address demographic differences, integrate comprehensive climate and health education into school curricula, and promote experiential learning opportunities. Enhancing youth awareness and fostering proactive behaviors are crucial to equipping them with the knowledge and skills necessary to mitigate and adapt to the health effects of global warming.</p> Sujimon Mungkalarungsi, Ronnakorn Chindarat, Pichaipat Ditsathaporncharoen, Tudchaphong Chongsubthum, Isaran Kaewketa, Sean Charupongsopon, Ingfah Rongrueangkul, Thanisarapha Siriariyarangsi ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/272601 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700