https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/issue/feed วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี 2025-08-29T19:10:16+07:00 พญ.สุกัญญา ภัยหลีกลี้ udh.medicaljournal@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการวิจัยและค้นคว้าวิชาแพทย์ บทความฟื้นวิชา การบรรยายพิเศษ รายงานผู้ที่เป็นที่น่าสนใจ เป็นต้น ยินดีรับพิจารณาบทความวิจัย บทความวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน กำหนดออกวารสาร ราย 4 เดือน (มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม – สิงหาคม, กันยายน – ธันวาคม)</p> https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277360 ความท้าทายในการให้บริการฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในประเทศไทย 2025-08-29T18:54:46+07:00 ชัยณรงค์ จรัสเลิศรังษี udh.medicaljournal@gmail.com <p>การให้บริการฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทันตแพทย์ไทยในปัจจุบัน เนื่องจากผู้สูงอายุกลุ่มนี้มักมีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ส่งผลให้การเข้าถึงบริการ รูปแบบการรักษา การดูแลและการติดตามผลการรักษา มีความแตกต่าง และเป็นไปได้ยากลำบากกว่าผู้ป่วยกลุ่มอื่น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาอุปสรรค ความท้าทาย แนวทางการแก้ปัญหาและการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับการให้บริการฟันเทียมแก่ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงตามบริบทของประเทศไทย โดยทำการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสบการณ์จากการให้บริการฟันเทียม และทันตกรรมผู้สูงอายุ มาวิเคราะห์วิจารณ์&nbsp; โดยพบว่า แนวทางการพัฒนาการให้บริการฟันเทียมในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในประเทศไทย สามารถทำได้โดยเพิ่มการเข้าถึงบริการฟันเทียมภายในชุมชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือบ้านผู้สูงอายุ การให้คำแนะนำ คำปรึกษา หรือติดตามผลการรักษาผ่านระบบทันตกรรมทางไกล สำหรับการออกแบบฟันเทียม ควรออกแบบให้ใช้งาน ทำความสะอาด และซ่อมแซมได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้เทคนิคการทำฟันเทียมอื่นๆ เพื่อช่วยลดข้อจำกัดของผู้สูงอายุกลุ่มนี้ เช่น การทำฟันเทียมทั้งปากสามครั้ง เพื่อลดจำนวนครั้งในการรักษา&nbsp; สุดท้ายบทความนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกอบรมทันตบุคลากร ให้มีความรู้และทักษะในเรื่องทันตกรรมผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างทัศนคติเชิงบวกในการดูแลสุขภาพช่องปากแก่ผู้สูงอายุ ผู้เขียนคาดว่าการพัฒนาบริการฟันเทียมในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับบริการฟันเทียมที่ดีและมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุไทยได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277338 ผลของกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย 2025-08-29T13:53:13+07:00 ยลรวี ปิยะคมน์ udh.medicaljournal@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; โรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย (age-related macular degeneration: AMD) เป็นสาเหตุหลักของความบกพร่องทางสายตาและการสูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรง จักษุแพทย์แนะนำวิธีการรักษาด้วยการให้อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุ การต้านด้วยยาฉีดเพื่อช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ กิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จักษุแพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพตนเอง ซึ่งมีผลการวิจัยของต่างประเทศยอมรับประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการยับยั้งการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยได้ยาวนานขึ้น เนื่องด้วยการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายที่มีผลต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยต้องมีการศึกษาทดลองในระยะยาวเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนส่งผลให้ข้อมูลดังกล่าวในประเทศจึงน้อย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับผลของกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยในต่างประเทศ และ 2) เพื่อสังเคราะห์และสรุปความคิดรวบยอดของผลงานวิจัยผลของกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยในต่างประเทศและนำเสนอผลการวิจัยพร้อมทั้งอภิปรายผลการศึกษาให้สอดคล้องกับการรักษาทางการแพทย์ของผู้ป่วยในประเทศไทย วิธีการศึกษา เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์อภิมาน (meta-Analysis) เก็บรวบรวมข้อมูลจากบทความวิจัยของต่างประเทศจาก PubMed, Google Scholar, Science Direct, ERIC และ ProQuest เป็นต้น คัดเลือกเฉพาะงานวิจัยที่มีผลการศึกษากล่าวถึงประสิทธิภาพการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยด้วยการใช้กิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายเท่านั้น จากที่ตีพิมพ์ในอดีตจนถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา ค้นพบบทความวิจัยทางคลินิกทุกประเภท จำนวน 61 บทความ จากนั้นคัดเลือกบทความที่เป็นการวิจัยแบบ randomized controlled trial; RCT, case control studies, cross-sectional studies ที่อยู่ในรูปแบบการศึกษาที่เป็น diagnostic accuracy studies ซึ่งผ่านการคัดกรองโดยผู้วิจัยนำผลการศึกษา<br>มาวิเคราะห์ค่าระดับความสัมพันธ์ในการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของกิจกรรมทางกายและ<br>การออกกำลังกายที่มีผลต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัยจากงานวิจัยทั้ง 17 บทความ พบว่า กิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายมีความสัมพันธ์กับโรคจอประสาทตาเสื่อมในผู้สูงวัย (p – value &lt;0.01) โดยมีค่าความแปรปรวนหรือความแตกต่างมีค่าเท่ากับร้อยละ 37.4 (r = 0.374) แสดงว่าค่าความแตกต่างแบบกันที่พบนั้น อาจจะอยู่ในระดับปานกลาง จึงสามารถนำกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายมาใช้เพื่อการแนะนำการดูแลสุขภาพดวงตาในผู้สูงอายุจอประสาทตามเสื่อมได้</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277343 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและวัฒนธรรมองค์กรที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดอุดรธานี 2025-08-29T16:34:08+07:00 ศิริรัตน์ เสนไสย์ udh.medicaljournal@gmail.com นพรัตน์ เสนาฮาด udh.medicaljournal@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยรูปแบบเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและวัฒนธรรมองค์กรที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 233 คน ได้จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจากประชากร จำนวน 3,918 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน โดยกำหนดระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และวิเคราะห์ความเที่ยง (reliability) ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาชของแบบสอบถามชุด เท่ากับ 0.98 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่างเดือนธันวาคม 2567 - มกราคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน โดยมีการกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>จากการศึกษาพบว่า ภาพรวมระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ภาพรวมระดับวัฒนธรรมองค์กรและภาพรวมระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.25 ± 0.52 ,4.14 ± 0.56 และ 4.22 ± 0.50 คะแนน ตามลำดับ โดยพบว่า ภาพรวมภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและภาพรวมวัฒนธรรมองค์กรมีความสัมพันธ์ระดับสูงกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดอุดรธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.742, p&lt;0.001), (r = 0.867, p&lt;0.001) ตามลำดับ พบว่าปัจจัย 3 ด้าน ได้แก่ วัฒนธรรมองค์กรแบบกลมกลืน วัฒนธรรมองค์กรแบบมีส่วนร่วม ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลมีส่วนร่วมในการพยากรณ์และมีผลต่อประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุดรธานี ได้ร้อยละ 76.9 (R<sup>2</sup>adj = 0.769, p&lt;0.001)</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277344 ผลของการอดอาหารเป็นช่วงเวลาต่อระดับความมันบนใบหน้าในผู้ป่วยที่มีสิวเล็กน้อยถึงปานกลาง 2025-08-29T16:45:01+07:00 เบญจพล เบญจพัชรศักดิ์ udh.medicaljournal@gmail.com ธัมม์ทิวัตถ์ นรารัตน์วันชัย udh.medicaljournal@gmail.com <p>ความมันบนใบหน้าและสิวเป็นปัญหาผิวหนังที่พบบ่อยในประชากรไทย การรักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่มุ่งเน้นการรักษาตามอาการโดยไม่ได้แก้ไขที่สาเหตุ และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของการอดอาหารเป็นช่วงเวลาด้วยวิธีการ 16/8 ต่อระดับความมันบนใบหน้าของผู้ที่มีสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงทดลองทางคลินิก โดยมีผู้เข้าร่วมวิจัยอายุระหว่าง 20-35 ปี จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่อดอาหารเป็นช่วงเวลา 16/8 (งดอาหาร 16 ชั่วโมง รับประทานได้ 8 ชั่วโมง)&nbsp; และกลุ่มควบคุมที่รับประทานอาหารตามปกติ กลุ่มละ 15 คน ดำเนินการวิจัยที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ติดตามผลเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทำการวัดระดับความมันบนใบหน้าด้วยเครื่อง Sebumeter รุ่น SM 815 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Two-way Repeated measure ANOVA และ Paired t-test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มที่อดอาหารเป็นช่วงเวลามีระดับความมันบนใบหน้าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จาก 97.09 ± 30.04 μg/cm² ในสัปดาห์ที่ 0 เป็น 76.19 ± 25.22 μg/cm² (p &lt; 0.001) ในสัปดาห์ที่ 4ขณะที่กลุ่มควบคุมไม่พบการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ (90.48 ± 48.61 μg/cm² เป็น 88.13 ± 47.73 μg/cm², p = 0.677) อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มกลุ่มที่อดอาหารจะมีแนวโน้มการลดลงของความมันบนใบหน้ามากกว่ากลุ่มควบคุม แต่เมื่อเปรียบเทียบทางสถิติแล้วความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.82) การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าการอดอาหารเป็นช่วงเวลาอาจลดความมัน แต่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลและควบคุมปัจจัยแทรกซ้อน</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277345 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มารับบริการในหน่วยเคมีบำบัดแบบไม่ค้างคืน โรงพยาบาลอุดรธานี 2025-08-29T16:54:54+07:00 ขวัญตา หลักหนองบุ udh.medicaljournal@gmail.com <p>โรคมะเร็งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของประชากรทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลค่อนข้างสูง การวางแผนการดูแลล่วงหน้าในผู้ป่วยโรคมะเร็งช่วยลดการนอนโรงพยาบาล การรักษาที่ไม่เกิดประโยชน์ และลดค่าใช้จ่ายในการรักษา การวิจัย cross-sectional study นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มารับบริการในหน่วยเคมีบำบัดแบบไม่ค้างคืน โรงพยาบาลอุดรธานี เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พ.ศ. 2568 ในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 200 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ในด้านปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าของผู้ป่วยโรคมะเร็ง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ univariable และ multivariable logistic regression analysis กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 &nbsp;</p> <p>ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 72.0 อายุเฉลี่ย 58.2 ± 13.5 ปี มีความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 69.0 มีความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการดูแลล่วงหน้าอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 81.5 ทัศนคติเกี่ยวกับการวางแผนการดูแลล่วงหน้าอยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 47.5 และการรับรู้ภาวะสุขภาพดี ร้อยละ 74.0 &nbsp;ในการวิเคราะห์แบบ multivariable พบว่าปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าของผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติคือ ความเพียงพอของรายได้ต่อเดือน (aOR=2.9, 95%CI:1.4-5.8, p=0.003) โรคมะเร็งเต้านม (aOR=0.3, 95%CI:0.2-0.7, p=0.002) ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (aOR=3.1, 95%CI:1.3-7.1, p=0.012) ทัศนคติเกี่ยวกับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (aOR=3.6, 95%CI:1.8-7.5, p&lt;0.001)</p> <p>&nbsp;สรุป: จากการศึกษานี้พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มารับบริการในหน่วยเคมีบำบัดแบบไม่ค้างคืนมีความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้าอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 69.0 โดยความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการวางแผนการดูแลล่วงหน้ามีความสัมพันธ์ต่อความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้า การส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความรู้และทัศนคติที่ดี จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความตั้งใจในการวางแผนการดูแลล่วงหน้า และเกิดการวางแผนการดูแลล่วงหน้ามากขึ้น</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277351 การพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง ในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลมหาสารคาม 2025-08-29T17:49:01+07:00 นันทนา ชมภูยันต์ udh.medicaljournal@gmail.com อรวรรณ ชุบสุวรรณ udh.medicaljournal@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัด เพื่อเพิ่มความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะกลาง ในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลมหาสารคาม วิธีดำเนินการวิจัย &nbsp;เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการมี 3 ระยะ คือ 1) ระยะเตรียมการ 2) ระยะดำเนินการ 4 ขั้นตอน 2 วงรอบ และ 3) ระยะประเมินผล กลุ่มผู้ร่วมวิจัยประกอบด้วยนักกายภาพบำบัด 9 คน ทีมสหวิชาชีพ 12 คน และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับผลการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดตามรูปแบบของการพัฒนาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง 60 คน ญาติหรือผู้ดูแล 60 คน ระยะเวลาวิจัยเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 - เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและญาติ แบบประเมินความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบบประเมินความพิการผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบบประเมินความรู้และทักษะการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดของญาติหรือผู้ดูแล แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ และทีมสหวิชาชีพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และเปรียบเทียบคะแนนด้วย Wilcoxon signed rank test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)</p> <p>ผลการศึกษาจากการพัฒนาได้รูปแบบใหม่ของการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัด ภายใต้บริบทของโรงพยาบาลมหาสารคาม“PT-MSKH Plus model” ได้แก่ 1) การรับ consult จากแพทย์ 2) การประเมินแรกรับ 3) การตั้งเป้าหมายแบบมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและญาติ 4) การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัดในหอผู้ป่วยเวชกรรมฟื้นฟู 5) การประเมินผลการฟื้นฟูทางกายภาพบำบัด 6) การวางแผนจำหน่ายร่วมกับทีมสหวิชาชีพ &nbsp;และ 7) การส่งต่อข้อมูลการฟื้นฟูให้กับทีมสหวิชาชีพในชุมชน โดยผลการใช้รูปแบบใหม่ส่งผลให้เกิดผลดีต่อผู้ป่วย จากการเปรียบเทียบค่าคะแนนความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน โดยผลการใช้รูปแบบใหม่ส่งผลให้เกิดผลดีต่อความสามารถในการดำเนินกิจวัตรประจำวันเพิ่มขึ้น&nbsp; ( p&lt; 0.001) รวมทั้งมีความรู้โรคหลอดเลือดสมอง ความรู้และทักษะการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัด เพิ่มขึ้น และความพิการลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) ความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ และทีมสหวิชาชีพต่อรูปแบบการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายภาพบำบัด มีระดับมากที่สุด ร้อยละ 96.00 และ 96.66 ตามลำดับ และได้ชุดคู่มือ “นั่งได้ เดินดี ชีวีมีสุข” สำหรับสหวิชาชีพ ผู้ป่วยและญาติ</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277352 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานโปรตีนถั่วเหลืองทดแทนการรับประทานปกติช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือด – การทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานของการทดลองแบบสุ่ม 2025-08-29T17:56:54+07:00 ณัฐภัทร มีนชัยนันท์ udh.medicaljournal@gmail.com จิระภา พันธุเศรษฐ์ udh.medicaljournal@gmail.com <p>วัตถุประสงค์ของรายงานแบบอภิมานนี้คือการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของโปรตีนจากถั่วเหลืองต่อการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำในเลือด การศึกษาในรายงานนี้ได้มาจากการค้นหาฐานข้อมูล Embase and PubMed พ.ศ. 2545-2565 จำนวนการทดลอง 13 รายการมีผู้เข้าร่วม 1,945 คน ทำการวิเคราะห์แบบอภิมาน โดยใช้ การวิเคราะห์ถดถอยอภิมาน และ การวิเคราะห์กลุ่มย่อย เพื่อสำรวจอิทธิพลของตัวแปรที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมัน คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ โดยใช้การทดลองแบบสุ่ม ในการคำนวณค่าเฉลี่ยส่วนต่างและร้อยละของความเชื่อมั่นที่ 95 การเปลี่ยนแปลงระดับไขมันในเลือด</p> <p>จากการวิเคราะห์พบว่ามีการลดลงที่มีนัยสำคัญทางสถิติของระดับ คอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำ โดยค่าการเปลี่ยนแปลงคือ -0.81 มิลลิโมลต่อลิตร (95% CI, -1.17 ถึง -0.45; p &lt; 0.001) หรือ 10.36% หลังจากการบริโภคโปรตีนถั่วเหลือง 4.7 กรัม ถึง 50 กรัม ความสามารถที่พบในการปรับสมดุลของระดับไขมันในเลือดโดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นต่ำแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในการป้องกันความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดต่อไป ควรมีการศึกษาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นระยะเวลานานขึ้น รวมถึงการวัดค่าไลโปโปรตีน เอ ซึ่งมีความมีความจำเพาะต่อการประเมินความเสี่ยงในโรคหลอดเลือดแดงมากขึ้น</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277353 ปัจจัยทำนายการคลอดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลชุมแพ ขอนแก่น 2025-08-29T18:04:25+07:00 สร้อย อนุสรณ์ธีรกุล udh.medicaljournal@gmail.com พงษ์ศักดิ์ จันทร์งาม udh.medicaljournal@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายการคลอดก่อนกำหนดในโรงพยาบาลชุมแพ เป็นการวิจัยย้อนหลังแบบ unmatched case control study ในมารดา 48-72 ชั่วโมงหลังคลอด จำนวน 171 ราย ที่มาคลอดในโรงพยาบาลชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แบ่งเป็นมารดาคลอดก่อนกำหนดเป็นกลุ่มศึกษา 57 ราย มารดาคลอดครบกำหนดเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ 114 ราย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามข้อมูลทั่วไปมีค่า CVI เท่ากับ 1 และแบบประเมินความเครียด ST5 มีค่าสัมประสิทธิแอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.78 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติไคสแควร์และสถิติถดถอยโลจิสติคแบบ 2 กลุ่ม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มศึกษามีอายุน้อยกว่า 20 ปีร้อยละ 7.0 &nbsp;อายุ 35 ปีขึ้นไปร้อยละ 36.8&nbsp; กลุ่มเปรียบเทียบมีอายุน้อยกว่า 20 ปีร้อยละ 10.5 &nbsp;อายุ 35 ปีขึ้นไปร้อยละ 17.5 ปัจจัยที่ร่วมทำนายการคลอดก่อนกำหนดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ มารดาอายุมาก (OR<sub>adj</sub>6.03, p=0.009) อายุครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรกช้า (OR<sub>adj</sub>0.84, p&lt;0.001) มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด (OR<sub>adj</sub>31.33, p&lt;0.001) ความเครียดระหว่างตั้งครรภ์ (OR<sub>adj</sub>7.764, p&lt;0.001) ความรุนแรงในครอบครัว (OR<sub>adj</sub>1.16, p=0.035) และทารกแรกเกิดร่างกายพิการ (OR<sub>adj</sub>18.24, p&lt;0.001) โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนของการคลอดก่อนกำหนดได้ร้อยละ 75.4 (R<sup>2 </sup>0.754, p&lt;0.001) ปัจจัยที่สามารถทำนายการคลอดก่อนกำหนดได้มากที่สุดคือ เคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อน (OR<sub>adj</sub>31.33)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สรุปมีหลายปัจจัยที่สามารถร่วมทำนายการคลอดก่อนกำหนด จึงควรส่งเสริมให้หญิงตั้งครรภ์เข้ารับการฝากครรภ์ตั้งแต่ไตรมาสแรก เพื่อให้สามารถประเมินความเสี่ยงได้รวดเร็วและให้การดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277354 ประสิทธิผลของโปรแกรมการฝึกสติต่อการลดความเครียดทางจิตใจในบุคลากรวัยทำงาน: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมาน 2025-08-29T18:11:52+07:00 ณัฐชญา ไมตรีเวช udh.medicaljournal@gmail.com สุวิวัฒน์ บุนนาค udh.medicaljournal@gmail.com <p>ความเครียดเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตใจของบุคคลวัยทำงาน การฝึกสติ (mindfulness-based interventions; MBIs) เป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจเพื่อเป็นแนวทางสำหรับการลดความเครียด โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลวัยทำงาน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของ MBIs ต่อระดับความเครียดในบุคคลวัยทำงาน โดยใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์อภิมาน โดยสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูล PubMed, Scopus, ScienceDirect และ Google Scholar คัดเลือกการศึกษาที่เป็นการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trials; RCTs) ซึ่งรายงานผลของ MBIs ต่อระดับความเครียดในประชากรวัยทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ standardized mean difference (SMD) และ random effect model เพื่อเปรียบเทียบผลการฝึกสติ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า มีการศึกษาทั้งหมด 14 ฉบับ รวมผู้เข้าร่วมทั้งหมด 1,212 คน พบว่าการฝึกสติสามารถลดระดับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (SMD = -0.584, 95% CI: -0.902 to -0.266) อย่างไรก็ตาม การศึกษามีความแตกต่างระหว่างการศึกษาสูง (I² = 79.4%) ซึ่งอาจมาจากความแตกต่างของประชากรศึกษา รูปแบบการฝึกสติ และวิธีการรายงานผลของแต่ละการศึกษา MBIs จึงถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเครียดในบุคคลวัยทำงาน อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมที่มีระเบียบวิธีที่เข้มงวดขึ้นเพื่อลดอคติและเพิ่มความแม่นยำของผลลัพธ์</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277355 ระยะเวลาการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในโรงพยาบาลขอนแก่น 2025-08-29T18:19:43+07:00 นิติเทพ หลายทวีวัฒน์ udh.medicaljournal@gmail.com สุรชัย ศิริพรอดุลศิลป์ udh.medicaljournal@gmail.com พรชัย ธีระโชติภากรณ์ udh.medicaljournal@gmail.com ประกาศิต ศิริสุทธิ์ udh.medicaljournal@gmail.com เลอพงศ์ บุตรสำราญ udh.medicaljournal@gmail.com <p>มะเร็งท่อน้ำดีเป็นโรคที่พบได้บ่อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมาก การศึกษาเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระยะเวลารอดชีวิตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีในโรงพยาบาลขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดีและรักษาในโรงพยาบาลขอนแก่น ตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 ถึง 31 ธันวาคม 2562 และติดตามข้อมูลจนถึง 31 ธันวาคม 2566 โดยรวบรวมข้อมูลจากระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ของผู้ป่วยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว โดยมีการวิเคราะห์ระยะเวลาการรอดชีวิตรวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลารอดชีวิต ด้วยสถิติเชิงอนุมาน Kaplan-Meier, cox regression และเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มโดย log rank test</p> <p>ผลการศึกษา จากทั้งหมด 242 คน พบว่าค่ามัธยฐานของระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวม(median overall survival) ของผู้ป่วยทั้งหมดเท่ากับ 3.77 เดือน โดยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ 106 คน(ร้อยละ 43.80) ถูกประเมินว่าควรได้รับการรักษาแบบประคับประคองอาการ ผู้ป่วยที่มีโอกาสผ่าตัดหวังผลหายขาด ณ วันที่วินิจฉัย (potential curative resection) 59 คน (ร้อยละ 24.38) ในจำนวนผู้ป่วยที่มีโอกาสผ่าตัดได้ทั้งหมด มีเพียง 35 คน(ร้อยละ14.46) ที่ได้รับการผ่าตัด โดยในกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัดมีค่ามัธยฐานของระยะเวลาการรอดชีวิตโดยรวม(median overall survival) ของผู้ป่วยทั้งหมดเท่ากับ 16.20 เดือน ในขณะที่การรักษาด้วยวิธีระบายน้ำดีอย่างเดียว, การให้ยาเคมีบำบัดเพื่อประคับประคองและการรักษาแบบประคับประคองอาการเพียงอย่างเดียว มีระยะเวลาการมีชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.57, 13.97 และ 2.60 เดือนตามลำดับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาการรอดชีวิต ได้แก่ การได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดโดยเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีอื่น ที่ Hazard ratio(HR)=0.27 (95% CI; 0.18-0.42, p&lt;0.001), ระดับค่า tumor marker CA 19-9 ที่ ≥166 U/ml มี HR=1.97 (95% CI; 1.45-2.69, p&lt; 0.001), ตำแหน่งของมะเร็งที่ขั้วตับ มี HR=1.33 (95% CI; 1.01-1.74, p=0.043) และผลชิ้นเนื้อจากการผ่าตัดที่ตัดออกได้หมดร่วมกับไม่พบการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง (R0N0) มี HR=0.03 (95% CI; 0.004-0.20, p&lt;0.001) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> <p>สรุป ระยะเวลารอดชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดียังค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 3.77 เดือน ปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการรอดชีวิตคือการได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด และหากผลชิ้นเนื้อไม่มีการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองร่วมด้วย จะเป็นกลุ่มที่ผลการรักษาดีที่สุด ดังนั้นการค้นพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงมีความสำคัญ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277357 การศึกษาความแม่นยำของการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เข็มเล็กเจาะดูดเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยาของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมในโรงพยาบาลราชบุรี 2025-08-29T18:34:19+07:00 วรุณยุภา อู่ขลิบ udh.medicaljournal@gmail.com <p>การวินิจฉัยการแพร่กระจายของโรคมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ (axillary staging) ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมมีความสำคัญในการบอกระยะของโรคมะเร็ง ทำได้โดยใช้ผลพยาธิวิทยาจากการผ่าตัด การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เข็มเล็กเจาะดูดเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยาของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ (ultrasound-guided fine needle aspiration; US-guided FNA) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการวินิจฉัยการแพร่กระจายของโรคมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความไว ความจำเพาะ ความแม่นยำของการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เข็มเล็กเจาะดูดเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยาของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ โดยเปรียบเทียบกับผลพยาธิวิทยาเพื่อบอกการกระจายของมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และประเมินเพื่อวางแผนการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองอย่างเหมาะสม วิธีการศึกษาเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาโดยใช้ข้อมูลย้อนหลังจากเวชระเบียนผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมในโรงพยาบาลราชบุรี ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563 ถึง 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา จำนวนข้อมูลสามารถวิเคราะห์ได้ 98 คนพบว่า US-guided FNA มีความไว(sensitivity) ร้อยละ 83.56 &nbsp;ความจำเพาะ(specificity) ร้อยละ 100 ค่าการทดสอบให้ผลบวกแล้วเป็นโรคจริง(positive predictive value) ร้อยละ 100 ค่าการทดสอบให้ผลลบแล้วไม่เป็นโรคจริง(negative predictive value) ร้อยละ 67.57 และมีความแม่นยำ(accuracy) ร้อยละ 87.76</p> <p>สรุปผล การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับการใช้เข็มเล็กเจาะดูดเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยาของต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเป็นหัตถการที่มีความไว ความจำเพาะที่สูง รวมถึงมีความแม่นยำที่ดี อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการวางแผนการรักษาผ่าตัด</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277358 ผลของความถี่ในการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อต่อการลดอาการปวดหลังส่วนล่าง 2025-08-29T18:40:34+07:00 เหมรัต พารีศรี udh.medicaljournal@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของความถี่ในการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อต่อการลดอาการปวดหลังส่วนล่าง เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วย เป็นการศึกษาทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม ชนิดการศึกษา 2 กลุ่ม โดยวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่มารับบริการตรวจรักษาด้วยอาการปวดหลังส่วนล่างที่ห้องตรวจเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึง เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 จำนวน 70 คน การศึกษาครั้งนี้แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 35 คน กลุ่มทดลองจะได้รับการแนะนำให้ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อทุกวันนาน 4 สัปดาห์ ขณะที่กลุ่มควบคุมจะได้รับการแนะนำให้ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ 2-3 วันต่อสัปดาห์นาน 4 สัปดาห์ เครื่องมือในการเก็บข้อมูลคือ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไปผู้ป่วย แบบบันทึกอาการปวดโดยใช้ numerical pain rating scale (NPRS) และ The Oswestry Low Back Pain Disability Questionnaire (ODI) กลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับการประเมินในครั้งแรกที่เข้ารับการรักษา และ 4 สัปดาห์หลังการรักษา สถิติที่ใช้คือ Wilcoxon signed ranks Test และMann-Whitney U test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายทุกวัน (กลุ่มทดลอง) และกลุ่มออกกำลังกาย2-3 วันต่อสัปดาห์ (กลุ่มควบคุม) มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่ามัธยฐานของคะแนนความปวด (pain score) ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนการรักษาเป็น 7 คะแนนเท่ากัน ค่ามัธยฐานของคะแนนความปวดของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการรักษาเป็น 4 คะแนนเท่ากัน ค่ามัธยฐานของ ODI ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนการรักษาเป็น 9 คะแนนเท่ากัน ค่ามัธยฐานของ ODI ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการรักษาเป็น 4 และ 6 คะแนน ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบ pain score และ ODI ก่อนและหลังการรักษา พบว่าทั้งสองกลุ่มมีคะแนนทั้งสองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt;0.001 และ p &lt;0.001 ตามลำดับ)&nbsp; แต่ไม่พบความแตกต่างทางสถิติหลังการรักษาระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง (p= 0.562 และ p= 0.181 ตามลำดับ) &nbsp;เมื่อเปรียบเทียบผลของการลดอาการปวดก่อนและหลังการรักษา พบว่า มีผู้เข้าร่วมวิจัยที่มี pain score ลดลงมากกว่า 3 คะแนน ร้อยละ 37.1 และมี ODI ที่ลดลงมากกว่า 2 คะแนน ร้อยละ 88.6 เมื่อพิจารณาด้านความถี่ของการออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อ การเปลี่ยนแปลงของ pain score และ ODI ของทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p= 0.621 และ p= 0.133 ตามลำดับ)</p> <p>สรุป การออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย 2-3 วันต่อสัปดาห์ หรือออกกำลังกายถี่ทุกวัน ให้ผลลัพธ์ในการลดอาการปวดและผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277359 ผลของโปรแกรมการอดบุหรี่ด้วยการแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลอุดรธานี 2025-08-29T18:47:52+07:00 จิระภา พันธุเศรษฐ์ udh.medicaljournal@gmail.com ณัฐภัทร มีนชัยนันท์ udh.medicaljournal@gmail.com <p>โรงพยาบาลอุดรธานีมีคลินิกอดบุหรี่ ภายใต้การดูแลของคลินิกการแพทย์แผนไทยเป็นหลัก ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการส่งตัวมาปรึกษาต่อจากคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คลินิกการแพทย์แผนไทยให้การรักษาการอดบุหรี่ด้วยการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ร่วมกับการใช้สมุนไพรชาชงหญ้าดอกขาว สมุนไพรอื่นๆ&nbsp; เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดอัตราการกลับไปสูบซ้ำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทราบผลของโปรแกรมอดบุหรี่ด้วยการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจ ร่วมกับการใช้สมุนไพรไทยในการลดการสูบบุหรี่ในผู้ป่วยคลินิกอดบุหรี่ เป็นการศึกษาเชิงพรรณาย้อนหลังโดยใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนในผู้ป่วยที่เข้ารับบริการคลินิกอดบุหรี่โดยแพทย์แผนไทยโรงพยาบาลอุดรธานี ในพ.ศ. 2567 จำนวน 55 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของความสำเร็จของการอดบุหรี่</p> <p>ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง 55 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 94.5 อายุเฉลี่ย 51.1±11.5 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ร้อยละ &nbsp;72.7 ได้รับการรักษาจากคลินิกอดบุหรี่ด้วยแพทย์แผนไทย โดยใช้วิธีสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจทุกราย ได้รับชาชงหญ้าดอกขาวเพื่อลดความอยากบุหรี่ร่วมด้วยร้อยละ 81.8 ได้รับยาอมมะแว้งเพื่อบรรเทาอาการไอจากการสูบบุหรี่ ร้อยละ 56.4&nbsp; ผลของโปรแกรมทำให้ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้ร้อยละ 21.8, ผู้ที่เลิกไม่ได้แต่สูบลดลง พบมากถึงร้อยละ 61.8 แต่มีกลุ่มตัวอย่างที่ยังสูบเท่าเดิม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้อยละ 16.4</p> <p>สรุป โปรแกรมอดบุหรี่ด้วยการแพทย์แผนไทย ด้วยการสนทนาเพื่อสร้างแรงจูงใจช่วยให้ผู้สูบเกิดความตระหนักรู้และเข้าใจความรู้สึกอยากที่เกิดขึ้น ร่วมกับการใช้สมุนไพรชาชงหญ้าดอกขาวช่วยให้อยากบุหรี่ลดลง สามารถช่วยให้ลดการสูบ ร้อยละ 61.8 และเลิกสูบได้สำเร็จร้อยละ 21.8</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/277362 การรักษาความวิการในสันกระดูกเบ้าฟันโดยวิธีการชักนำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ร่วมกับการปลูกถ่ายกระดูก : รายงานผู้ป่วย 2 ราย 2025-08-29T19:01:49+07:00 นิรมล ทองพูลสวัสดิ์ udh.medicaljournal@gmail.com <p>เป้าหมายของการรักษาโรคปริทันต์อักเสบคือการควบคุมเชื้อที่เป็นสาเหตุและกำจัดปัจจัยเสริมต่างๆ สามารถหยุดการลุกลามของโรค ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพช่องปากที่ดี อย่างไรก็ตามในรายที่มีการทำลายของ อวัยวะปริทันต์ขั้นรุนแรง และมีการทำลายของกระดูกเบ้าฟันไปมาก มีความจำเป็นต้องได้รับการทำศัลยกรรม ปริทันต์แก้ไข การชักนำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่หรือจีทีอาร์ (guided tissue regeneration; GTR) ร่วม</p> <p>กับการปลูกถ่ายกระดูก เป็นวิธีการหนึ่งทางศัลยกรรมปริทันต์ที่สามารถนำมาแก้ไขความวิการในสันกระดูกเบ้าฟัน และเหนี่ยวนำทำให้เกิดการสร้าง ใหม่ของอวัยวะปริทันต์ได้ บทความนี้เป็นรายงานผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาความวิการในสันกระดูกเบ้าฟัน จำนวน 2 ราย ด้วยวิธีการเดียวกันคือการชักนำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ โดยใช้แผ่นกั้นชนิดสลายเองร่วมกับการปลูกถ่ายกระดูกเอกพันธุ์ชนิดผ่านการทำให้แห้งภายใต้สภาวะแช่แข็งหรือเอฟดีบีเอ (freeze dried bone allograft; FDBA) ผู้ป่วยรายแรกเป็นฟันซี่ 14 พบความวิการในสันกระดูกเบ้าฟันที่มีผนังกระดูก 3-2 ด้าน ผู้ป่วยรายที่สองเป็นฟันซี่ 13 พบความวิการในสันกระดูกเบ้าฟันที่มีผนังกระดูก 2 ด้าน ติดตามผลการรักษาที่ 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 รายมีการลดลงของร่องลึกปริทันต์และเพิ่มการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ จากภาพถ่ายรังสีพบการมีปริมาณกระดูกเบ้าฟันเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยสามารถใช้งานฟันได้ตามปกติ</p> <p>&nbsp;</p> 2025-08-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025