https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/issue/feed
วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี
2024-08-30T22:19:14+07:00
พญ.สุกัญญา ภัยหลีกลี้
udh.medicaljournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการวิจัยและค้นคว้าวิชาแพทย์ บทความฟื้นวิชา การบรรยายพิเศษ รายงานผู้ที่เป็นที่น่าสนใจ เป็นต้น ยินดีรับพิจารณาบทความวิจัย บทความวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน กำหนดออกวารสาร ราย 4 เดือน (มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม – สิงหาคม, กันยายน – ธันวาคม)</p>
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270863
การบูรณะฟันกรามทางอ้อมด้วยวิธีนอนรีเทนทีฟ (Non-Retentive Indirect Restoration): รายงานผู้ป่วย
2024-08-30T13:32:52+07:00
อุษณีย์ กัลยาธิ
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>ความรู้และการพัฒนาคุณสมบัติของวัสดุทันตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ในวงการทันตกรรมปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่างมาก โดยเฉพาะการพัฒนาระบบยึดติด (adhesive system) ส่งผลให้มีแนวคิดให้การรักษาแบบอนุรักษ์ (minimal invasive approach) กรอแต่งฟันเฉพาะที่จำเป็น ส่งผลให้สามารถเก็บเนื้อฟันได้มากขึ้น การบูรณะฟันที่มีการสูญเสียโครงสร้างของฟันไปมาก ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด เช่น วัสดุอุดเดิมเสื่อมสภาพร่วมกับมีพยาธิสภาพเพิ่ม ฟันสึกจากการใช้งานเป็นเวลานาน จากพฤติกรรมการรับประทานทานอาหารแข็ง หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสภาวะเป็นกรด หรือนิสัยชอบเค้นฟัน (clenching) นอนกัดฟัน (bruxism) นั้น สามารถรักษาได้โดยการบูรณะทางอ้อมด้วยวิธีนอนรีเทนทีฟ ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถเก็บรักษาเนื้อฟันได้มากกว่าการทำออนเลย์ (onlay) และครอบฟันทั้งซี่ การบูรณะทางอ้อมด้วยวิธีนอนรีเทนทีฟให้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การออกแบบการเตรียมฟัน (preparation design) ความหนาของวัสดุ คุณสมบัติของวัสดุที่เลือกใช้ แรงบดเคี้ยว ประเภทของซีเมนต์ เทคนิคการใช้สารยึดติด ฟันคู่สบ ลักษณะการสบฟันและลักษณะนิสัยการใช้งานฟันของคนไข้แต่ละราย</p> <p> รายงานนี้แสดงผลสำเร็จในการบูรณะฟันกรามล่างซ้าย 2 ซี่ ในผู้ป่วยหญิงไทยวัย 59 ปีที่สูญเสียโครงสร้างของฟันไปมากโดยการบูรณะทางอ้อมด้วยวิธีนอนรีเทนทีฟ ฟันทั้งสองซี่นี้มีระดับการสูญเสียเนื้อฟันที่แตกต่างกัน การพิจารณาเลือกเก็บรักษาเนื้อฟันที่มีสภาพสมบูรณ์ไว้ให้มากที่สุด คงสภาพความมีชีวิตของฟัน ส่งผลต่อการออกแบบการเตรียมฟัน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ข้างต้นที่ต้องทำมาพิจารณาประกอบ เพื่อให้คงไว้ซึ่งลักษณะ (form) การใช้งาน (function) และความสวยงาม (esthetics) ติดตามผลการรักษาที่ระยะเวลา 8 เดือน ผู้ป่วยสามารถใช้งานได้ปกติ ไม่มีอาการทางคลินิก เหงือกและอวัยวะปริทันต์ทั้งทางคลินิกและการประเมินทางภาพรังสีมีสภาพปกติ</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270864
การเปรียบเทียบกรณีศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยเอดส์ร่วมโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
2024-08-30T13:42:12+07:00
สุนันทา เนตรพรหม
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>ผู้ป่วยเอดส์ร่วมโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เป็นโรคที่มีความสัมพันธ์ สอดคล้องกัน และมีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย พยาบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเพื่อการป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยให้ใช้ชีวิตได้ปกติ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วยเอดส์ร่วม โรคความดันโลหิตสูงและโรคไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมโดยใช้ทฤษฎีแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนและกระบวนการพยาบาลเปรียบเทียบการพยาบาลผู้ป่วย 2 รายที่มีโรคประจำตัว ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ความดันโลหิตสูง และ ไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและเข้ามารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร ศึกษาข้อมูลจากประวัติผู้ป่วย นำมาเปรียบเทียบตามแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ระยะเวลาตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2567 ถึง มิถุนายน 2567</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า รายที่ 1 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 40 ปี มาโรงพยาบาลด้วย ปวดจุกแน่นท้องใต้ลิ้นปี่ อาเจียน เวียนศีรษะ ความดันโลหิตสูง โปแตสเซียมในเลือดสูง แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้น มีภาวะโปแตสเซียมในเลือดสูง (Hyperkalemia) แพทย์ให้รักษาตัวโดยการนอนในโรงพยาบาล พยาบาลดูแลประเมินสัญญาณชีพ และสังเกตอาการผิดปกติ หากมีให้รายงานแพทย์ แนะนำงดอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง ดูแลส่งฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หลังฟอกเลือดไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการดีขึ้น รวมนอนโรงพยาบาล 1 วัน รายที่ 2 ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 45 ปี มาโรงพยาบาลด้วย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ทานอาหารได้น้อย ส่งฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หลังฟอกเลือดผู้ป่วยมีอาการใจสั่น แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้น มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (atrial fibrillation) ขณะฟอกเลือด แพทย์ให้รักษาตัวโดยการนอนในโรงพยาบาล พยาบาลดูแลประเมินสัญญาณชีพ และสังเกตอาการลิ่มเลือดอุดตันส่วนต่างๆของร่างกาย ดูแลให้นอนพักรักษาอยู่บนเตียง อาการดีขึ้น รวมนอนโรงพยาบาล 1 วัน การประเมินและการพยาบาลโดยใช้ 11 แบบแผนสุขภาพกอร์ดอน พบความผิดปกติ คล้ายกันในเรื่อง การรับรู้และการดูแลสุขภาพ โภชนาการและการเผาผลาญอาหาร การพักผ่อนและการนอนหลับ การรู้จักตนเองและ อัตมโนทัศน์ ยกเว้นเรื่องกิจกรรมและการออกกำลังกายที่ผิดปกติต่างกัน การพยาบาลจึงมุ่งเน้นเกี่ยวกับการดูแลตนเอง ที่เหมาะสม การรับประทานยาให้สม่ำเสมอ ประเภทการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การนอน การจัดการความเครียดและความกังวล แนะนำเกี่ยวกับกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับสุขภาพของผู้ป่วย</p> <p>จากการศึกษาครั้งนี้ พยาบาลจะต้องมีความรู้และสมรรถนะในการประเมินอาการ คัดกรอง จัดระดับความรุนแรง วินิจฉัยปัญหา วางแผนและปฏิบัติการพยาบาล ตั้งแต่ในระยะก่อนตรวจรักษา ขณะตรวจรักษา และหลังการตรวจรักษา ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ตลอดจนให้ความรู้ คำแนะนำ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีการดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องต่อเนื่อง </p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270845
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบเอสที ยกและได้รักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนังแบบปฐมภูมิ ในโรงพยาบาลอุดรธานี
2024-08-30T12:13:41+07:00
วิธียุทธ์ คำตรี
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นปัญหาสำคัญทางสุขภาพของผู้สูงอายุ และเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบเอสที ยก การรักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนังแบบปฐมภูมิ เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยลดอัตราการตายได้ แต่ก็ยังพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตที่สูงอยู่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทำการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบเอสที ยกและได้รักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนังแบบปฐมภูมิ ในโรงพยาบาลอุดรธานี วิธีการศึกษาเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาเก็บข้อมูลย้อนหลัง จากฐานข้อมูลโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และเวชระเบียนผู้ป่วยที่วินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบเอสที ยก ที่มีอายุมากกว่า65 ปี และได้รักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนังแบบปฐมภูมิ จำนวน 113 ราย โดยใช้แบบบันทึกข้อมูล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564- 30 มิถุนายน 2565 แล้วใช้สถิติ univariate , multivariate logistic regression analysis วิเคราะห์หาปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการเสียชีวิต กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษา: ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบเอสที ยก ที่มีอายุมากกว่า65 ปี และได้รักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนังแบบปฐมภูมิ มีจำนวน 113 ราย อายุเฉลี่ย74.4 ± 6.6 ปี เป็น inferior wall STE ACS ร้อยละ 49.6 Killip 3&4 ร้อยละ 50.5 เส้นเลือดตีบ 1 เส้น ร้อยละ 51.3 reperfusion time เฉลี่ย 55.0 ± 16.5 นาที อัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลร้อยละ 18.6 ในการวิเคราะห์แบบ multivariate พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือ การบาดเจ็บของไตเฉียบพลัน (AOR=6.8, 95%CI 1.2-39.2, p=0.03) </p> <p> สรุป :จากการศึกษานี้พบอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาลร้อยละ 18.6 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตคือ การบาดเจ็บของไตเฉียบพลัน การค้นหาผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเพื่อป้องกันโรค และการพัฒนาระบบการส่งต่อที่ดีน่าจะช่วยให้ผลลัพธ์จากการรักษาดีขึ้นและช่วยลดภาวะแทรกซ้อนได้</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270846
ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ตำบลสีออ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี
2024-08-30T12:19:16+07:00
สันติภาพ โพธิมา
udh.medicaljournal@gmail.com
สุพัฒน์ กองศรีมา
udh.medicaljournal@gmail.com
พีรยุทธ แสงตรีสุ
udh.medicaljournal@gmail.com
ณัฐพร นิจธรรมสกุล
udh.medicaljournal@gmail.com
ภูวนาภ ศรีสุธรรม
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเป็นเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง(cross-sectional descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ตำบลสีออ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน เขตตำบลสีออ อำเภอกุมภวาปี ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 132 คน และการสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2566 โดยใช้แบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.97 ค่าความเที่ยงทั้งฉบับมีค่าเท่ากับ 0.80 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน วิเคราะห์โดยหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 59.09 อายุเฉลี่ย 70.21±7.16ปี มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 67.42 การศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 81.81 มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ =2.55 ±0.29) และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุโรคเบาหวาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก(x̅ =2.69 ±0.35) พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.699, p < 0.001) ดังนั้นบุคลากรสาธารณสุขในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้เกิดแก่ผู้สูงอายุในการดูแลพฤติกรรมสุขภาพของตัวเอง เพื่อที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดการดูแลสุขภาพตนเองอย่างเหมาะสมและยั่งยืน</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270834
ผลของโปรแกรมการป้องกันปอดอักเสบจากการสำลักในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันเฉียบพลัน โรงพยาบาลอุดรธานี
2024-08-30T11:24:08+07:00
ยุพาพร วัชรโชติตระกูล
udh.medicaljournal@gmail.com
ปัญญาวัฒน์ หิรัญแสงไพศาล
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ( Quasi-experiment research ) แบบ 2 กลุ่ม มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการสำลักของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ในกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการป้องกันปอดอักเสบจากการสำลัก และ กลุ่มที่ได้รับการดูแลตามแนวทางปกติของหน่วยงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน ในหอผู้ป่วย stroke unit โรงพยาบาลอุดรธานี กลุ่มละ 33 ราย จำนวนทั้งหมด 66 ราย คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ โปรแกรมการป้องกันปอดอักเสบจากการสำลัก ได้ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนได้แก่ 1) การคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก 2) การประเมินการกลืน 3) การพยาบาลผู้ป่วยที่มีปัญหาการกลืนลำบาก และจัดทำแผ่นพับให้ความรู้ในเรื่องการบริหารกล้ามเนื้อที่ใช้การกลืน 10 ท่า 4 ) การประเมินผลลัพธ์การเกิดปอดอักเสบ ดำเนินการเก็บข้อมูล กลุ่มควบคุมจากเวชระเบียนผู้ป่วยระหว่างวันที่ วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ 2566 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ 2566 จำนวน 33 ราย และกลุ่มทดลองเก็บข้อมูล วันที่ 1 มกราคม พ.ศ 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ 2567 จำนวน 33 ราย การวิเคราะห์ข้อมูล ลักษณะทั่วไปและลักษณะทางคลินิกด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics ) ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย เปรียบเทียบอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก ใช้ chi-square </p> <p> ผลการวิจัย ข้อมูลทั่วไประหว่างสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการสำลักหลังการทดลองทั้งสองกลุ่มโดยใช้ chi –square พบว่า กลุ่มทดลองมีอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการสำลัก น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <strong> </strong>( p = 0.038 ) โดยในกลุ่มควบคุมพบว่าอัตราการเกิดปอดอักเสบจากการสำลักร้อยละ 9.1 ส่วนกลุ่มทดลองไม่พบเลย ( ร้อยละ 0.0 ) เปรียบเทียบคะแนนการปฏิบัติการพยาบาลตามโปรแกรมการป้องกันปอดอักเสบจากการสำลักของพยาบาลวิชาชีพก่อนและหลังการทดลอง มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p <0.001 ) โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลองเท่ากับ 26.80 คะแนน หลังการทดลอง เท่ากับ 30.80 คะแนน</p> <p> สรุปและข้อเสนอแนะ การป้องกันปอดอักเสบจากการสำลักควรมีการประเมินผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ ก่อน และหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และควรจะมีการแนะนำผู้ดูแลให้มีประเมินการสำลัก และการดูแลเพื่อป้องกันการสำลักอย่างต่อเนื่องไปจนถึงหลังจำหน่ายกลับบ้าน </p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270839
ความต่อเนื่องของการใช้ยาฝังคุมกำเนิดที่ 36 เดือนในสตรีวัยรุ่นเปรียบเทียบกับสตรีวัยผู้ใหญ่ที่เข้ารับบริการฝังยาคุมกำเนิด ณ คลินิกสูตินรีเวช โรงพยาบาลหนองคาย
2024-08-30T11:45:20+07:00
วาดวิไล ชาลปติ
udh.medicaljournal@gmail.com
<p><strong>วัต</strong><strong>ถุ</strong><strong>ประสงค์</strong>ของการศึกษานี้เพื่อ ศึกษาอัตราความต่อเนื่องของการใช้ยาฝังคุมกำเนิดที่ 36 เดือน ในสตรีวัยรุ่นเปรียบเทียบกับสตรีวัยผู้ใหญ่ที่เข้ารับบริการฝังยาคุมกำเนิด (Etonogestrel contraceptive implant) ณ คลินิกสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหนองคาย โดยเป็นการศึกษาย้อนหลังจากข้อมูลเวชระเบียนในระบบคอมพิวเตอร์โรงพยาบาลและการโทรศัพท์สอบถาม ในสตรีวัยรุ่นอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 19 ปีและ สตรีวัยผู้ใหญ่ที่อายุ 20 – 49 ปี ที่ได้รับการฝังยาคุมกำเนิดที่ โรงพยาบาลหนองคาย ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2560 – ธันวาคม พ.ศ.2565 โดยเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและสาเหตุที่ตัดสินใจถอดยาฝังคุมกำเนิดก่อนกำหนด การวิเคราะห์โดยใช้การทดสอบ Mann-Whitney U, Chi-square, Fisher exact test และ Cox-proportional hazard model & survival analysis ร่วมกับการใช้กราฟ Kaplan-Meier curve</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> จากสตรี 656 คนที่มีระยะเวลาฝังยาคุมจนถึงวันเก็บข้อมูลมากกว่าหรือเท่ากับ 36 เดือน ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการทบทวนเวชระเบียน และโทรศัพท์ติดตาม พบว่ามีสตรีจำนวน 58 คน ที่ติดต่อไม่ได้ ดังนั้น มีสตรีที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกเข้าโครงการวิจัยจำนวน 598 คน ในจำนวนนี้เป็นสตรีวัยรุ่น ร้อยละ 93.31 และสตรีวัยผู้ใหญ่ ร้อยละ 6.68 พบว่าสตรีวัยรุ่น ร้อยละ 87.81 และสตรีวัยผู้ใหญ่ ร้อยละ 67.50 ฝังยาคุมครบกำหนด 36 เดือน โดยสตรีวัยรุ่นฝังยาคุมครบกำหนดมากกว่าสตรีวัยผู้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p= 0.002) สาเหตุหลักที่ผู้รับบริการตัดสินใจถอดยาฝังคุมกำเนิดก่อน 36 เดือน คือ ภาวะเลือดออกผิดปกติ และหลังจากถอดยาฝังคุมกำเนิดผู้รับบริการส่วนใหญ่ไม่คุมกำเนิดต่อ การวิเคราะห์ระยะปลอดเหตุการณ์ถดถอยย้อนหลังแบบขั้นตอนที่ได้รับการควบคุมปัจจัยกวนพบว่า สตรีวัยรุ่นยังคงมีอัตราการฝังยาครบกำหนด(ร้อยละ 87.81)สูงกว่าสตรีวัยผู้ใหญ่(ร้อยละ 67.50) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยพบว่าสตรีวัยรุ่น, สตรีที่อาศัยอยู่นอกเขตเมือง สตรีที่มีดัชนีมวลกาย น้อยกว่า 18.5 กก/ตรม. และการฝังยาคุมต่อเนื่องมีผลต่อการฝังยาคุมกำเนิดให้ครบ 36 เดือนสูง เมื่อวิเคราะห์ระยะปลอดเหตุการณ์สตรีวัยรุ่นกับวัยผู้ใหญ่ พบว่าสตรีวัยรุ่นมีความต่อเนื่องในการฝังยาคุมครบ 36 เดือนสูงกว่าสตรีวัยผู้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05)</p> <p>สรุป สตรีวัยรุ่น, สตรีที่อาศัยอยู่นอกเขตเมือง สตรีที่มีดัชนีมวลกาย น้อยกว่า 18.5 กก/ตรม. และการฝังยาคุมต่อเนื่องมีผลต่อการฝังยาคุมกำเนิดให้ครบ 36 เดือนสูง และเมื่อเปรียบเทียบสตรีวัยรุ่นกับวัยผู้ใหญ่ พบว่าสตรีวัยรุ่นมีความต่อเนื่องในการฝังยาคุมครบ 36 เดือนสูงกว่าสตรีวัยผู้ใหญ่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05) โดยสาเหตุหลักผู้รับบริการถอดยาฝังคุมกำเนิดก่อน 36 เดือน คือ ภาวะเลือดออกผิดปกติ</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270850
ผลการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อความรู้ ทักษะ และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤตของพยาบาลวิชาชีพ
2024-08-30T12:29:08+07:00
สฤษดิ์ชัย ธนบุตรศรี
udh.medicaljournal@gmail.com
กาญจนา ปัญญาธร
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การวิจัยก่อนทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง โดยเปรียบเทียบความรู้ ทักษะ และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤตของพยาบาลวิชาชีพก่อนและหลังการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง กลุ่มตัวอย่างเป็นพยาบาลวิชาชีพงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลเซกาทุกคน จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง เป็นสถานการณ์จำลองเสมือนจริงในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤตของพยาบาลวิชาชีพ และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะ และแบบประเมินการรับรู้ความสามารถของตนเองในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤติ หาคุณภาพของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านได้ค่าCVI เท่ากับ 0.92 และหาความเชื่อมั่นของเครื่องมือ ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคของแบบทดสอบความรู้ แบบประเมินทักษะและแบบประเมินการรับรู้ความสามารถของตนเองเท่ากับ 0.82, 0.78 และ 0.87ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงวิเคราะห์ Paired-t test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่าภายหลังการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จําลองเสมือนจริง พยาบาลวิชาชีพมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ (𝑋̅=11.87±0.35) สูงกว่าก่อนเรียน (𝑋̅=8.50±1.41) มีคะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ (𝑋̅=120±0.00) สูงกว่าก่อนเรียน (𝑋̅=100±10.00) และมีคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถของตนเองในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะวิกฤติหลังเรียน (𝑋̅=4.62 ± 0.09) สูงกว่าก่อนเรียน (𝑋=3.95±0.15) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ทุกรายการ</p> <p> จากผลการวิจัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนาสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองภาวะวิกฤติโดยใช้สถานการณ์จำลอง ติดตามประเมินความสามารถในการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์จริงและควรจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองในประเด็นปัญหาสุขภาพวิกฤติอื่นๆเพื่อให้พยาบาลได้พัฒนากระบวนการคิดและความสามารถในการแก้ปัญหาทางการพยาบาล</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270854
การพัฒนาระบบบริการสุขภาพชาวต่างชาติ ศูนย์บริการชาวต่างชาติ โรงพยาบาลอุดรธานี
2024-08-30T12:38:24+07:00
กันต์วดี สมิธ
udh.medicaljournal@gmail.com
กาญจนา ปัญญาธร
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การพัฒนาระบบบริการมีผลโดยตรงต่อคุณภาพและความพึงพอใจของผู้รับบริการ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพชาวต่างชาติและศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนา กลุ่มตัวอย่างได้มาแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 2 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ให้บริการชาวต่างชาติแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอุดรธานี 30 คนและผู้รับบริการชาวต่างชาติโรคเรื้อรัง 90 คน รวม 120 คน กระบวนการพัฒนามี 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การวางแผน การลงมือปฏิบัติ การสังเกตการณ์และการสะท้อนกลับ เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย แนวคำถามกึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกเวลารอคอย แบบสอบถามความคิดเห็นต่อระบบบริการและแบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้านความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ได้ค่า CVI เท่ากับ 0.97, 0.98, 0.85 และ 0.87 ตามลำดับ และความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาคของแบบสอบถามความคิดเห็นและแบบประเมินความพึงพอใจเท่ากับ 0.73 และ 0.78 ตามลำดับ เก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม ถึง มีนาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา paired - T test และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาของการให้บริการชาวต่างชาติ มาจากผู้ให้บริการมีทัศนคติเชิงลบและขาดทักษะการสื่อสารกับชาวต่างชาติ ระบบบริการมีหลายขั้นตอนใช้เวลารอคอยนาน สถานที่คับแคบ มีที่จอดรถไม่เพียงพอ ห้องน้ำไม่สะอาด และด้านผู้รับบริการมีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและภาษาทำให้ไม่เข้าใจกันและสื่อสารกันลำบาก 2) ระบบบริการที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย การปรับเปลี่ยนขั้นตอนและบทบาทของผู้ให้บริการ การจัดการคิวตรวจ การประสานงานและการให้ข้อมูลการรอคอย 3) การประเมินผลลัพธ์ของการพัฒนาหลังใช้ระบบใหม่ 3 เดือน พบว่า ผู้รับบริการชาวต่างชาติได้รับการบริการที่ดีขึ้น โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจต่อการบริการที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากก่อนการพัฒนาอยู่ในระดับมาก ( =4.12±0.58 คะแนน) เป็นหลังพัฒนาอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.62±0.63 คะแนน) ระยะเวลารอคอยเฉลี่ยในการเข้ารับบริการพบว่าลดลงร้อยละ37.5 (ก่อนพัฒนา =168 ±0.68 นาที และหลังพัฒนา =105 ±0.58 นาที) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.017และ p=0.03 ตามลำดับ) และผู้ให้บริการเห็นด้วยกับระบบที่พัฒนาขึ้นในระดับมาก ( =3.80± 0.96 คะแนน) โดยสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ</p> <p>จากผลการวิจัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของบุคลากร และสร้างมาตรฐานการพยาบาลสำหรับชาวต่างชาติ</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270857
การออกแบบและพัฒนานวัตกรรมทางการพยาบาล “ระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ”
2024-08-30T12:46:09+07:00
ปิติณัช ราชภักดี
udh.medicaljournal@gmail.com
วริญทร ผิวดี
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การวิจัยการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ และประเมินประสิทธิผลนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น การศึกษาแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การออกแบบและพัฒนาระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ พัฒนาจากการทบทวนวรรณกรรม และระยะที่ 2 การประเมินประสิทธิผลของระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่พัฒนาขึ้น ระยะเวลาในการศึกษา ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 – พฤษภาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชธานีวิทยาเขตอุดรธานี จำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบประเมินประสิทธิผลต่อการใช้ระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ได้แก่ แบบประเมินการเลื่อนหลุดของการผูกยึดหลังการผูกยึด 5 นาที แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมของกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า 1) ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมโดยเป็นการนำระบบสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำมาใช้ในการผูกยึดผู้ป่วยซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ควบคุมระบบโดยใช้รีโมท และเมื่อเลื่อนหลุดมีสัญญาณแจ้งเตือนพยาบาลทันที 2) ผลการทดลองใช้นวัตกรรมมีการเลื่อนหลุดของระบบผูกยึดคิดเป็นร้อยละ 13.33 และมีค่าเฉลี่ยคะแนนความพึงพอใจต่อระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำโดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.40, SD=0.64)</p> <p>ผลการศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่าระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พยาบาลสามารถนำไปใช้ในการผูกยึดผู้ป่วยได้ แต่อย่างไรก็ตามการที่จะนำไปใช้กับผู้ป่วยได้นั้นต้องได้รับการฝึกการใช้งานระบบผูกยึดผู้ป่วยโดยใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำให้ชำนาญเพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยในการใช้งานจริง และควรตรวจเช็คอุปกรณ์ให้ละเอียดทุกครั้งก่อนนำไปใช้งาน</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270858
การลดความคลาดเคลื่อนทางยาด้วยการประสานรายการยาภายใน 8 ชั่วโมงแรก ใน หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลอุดรธานี
2024-08-30T12:55:09+07:00
เกษร แก้วคำแสน
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมิน การลดความคลาดเคลื่อนทางยา ด้วยการเทียบประสานรายการยาแรกรับ(medication reconciliation)ภายใน 8 ชั่วโมงแรกที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล รูปแบบการศึกษาเป็นการศึกษาพรรณนาย้อนหลัง เก็บข้อมูลย้อนหลังระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ถึง 31 ตุลาคม 2564 ในหอผู้ป่วย55 หอ (ยกเว้นหอผู้ป่วยเคมีบำบัด และหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรม3 เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นยารักษามะเร็ง ที่รับประทานช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น) โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่มีรายการยาโรคเรื้อรังอย่างน้อย 1 รายการ และสแกนข้อมูลใบประสานรายการยาผ่านอิเล็กทรอนิกส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ความถี่ และ ไคสแคว์(chi square)</p> <p>ผลการศึกษาผู้ป่วยถูกคัดเข้าการศึกษาจำนวน 297 ราย มีใบประสานรายการยาที่ส่งมาภายใน 8 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 68.69 ใบรายการยาที่ระบุเวลารับประทานยาครั้งล่าสุดด้วย พบร้อยละ 27.91 พบใบประสานรายการยาที่ไม่ผ่านคุณภาพซึ่งจะถูกแก้ไขและปรับเปลี่ยนภายใน 24 ชั่วโมง เพียงร้อยละ 4.38 ไม่พบจำนวนความคลาดเคลื่อนทางยา ระดับความรุนแรงสูงที่ต้องเฝ้าระวังหรือถึงเสียชีวิต(ร้อยละ0.00)</p> <p> ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ บุคลากรควรทำการประสานรายการยาแรกรับให้เรียบร้อยก่อนในผู้ป่วยทุกรายที่เข้ารับการรักษาเพื่อลดความรุนแรงของความคลาดเคลื่อนทางยา ที่เกิดขึ้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270860
ปัจจัยทางการบริหารและแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม
2024-08-30T13:01:30+07:00
นันทวัน บัวใหญ่
udh.medicaljournal@gmail.com
นพรัตน์ เสนาฮาด
udh.medicaljournal@gmail.com
กฤษณะ อุ่นทะโคตร
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (cross-section descriptive research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการบริหารและแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 7,498 คน ใช้การสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ได้จำนวนขนาดตัวอย่าง 178 คน ระหว่างวันที่ 16-31 มกราคม 2567 ทำการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาทุกข้อมีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่า 0.50 และตรวจสอบความเที่ยงของแบบสอบถามวิเคราะห์ค่าความเที่ยงใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ได้ค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งชุดเท่ากับ 0.97 การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ใช้ สถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) เพื่อหาการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด เพื่อใช้ในการอธิบายระดับปัจจัยทางการบริหาร ระดับแรงจูงใจ และระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม สถิติเชิงอนุมาน (inferential statistics) ใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s product moment correlation coefficient) ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษา และใช้สถิติการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise multiple linear regression analysis) เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยทางการบริหารและแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม</p> <p> จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 178 คน เป็นเพศชายร้อยละ 54.5 อายุเฉลี่ย 35.0±0.8 ปี ส่วนใหญ่จบปริญญาตรี ร้อยละ 83.1 ระยะเวลาปฏิบัติงาน ค่ามัธยฐาน 4.0 ปี พบว่า ภาพรวมปัจจัยทางการบริหาร แรงจูงใจ และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.07±0.17, 4.06±0.17 และ 4.07±0.19 ตามลำดับ พบว่าภาพรวมปัจจัยทางการบริหาร มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.488, p<0.001) และภาพรวมแรงจูงใจมีความสัมพันธ์ระดับต่ำกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.261, p<0.001) และปัจจัยทางด้านการบริหาร ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ด้านวัสดุอุปกรณ์ และปัจจัยค้ำจุน ด้านสภาพการปฏิบัติงานและด้านชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัว ตัวแปรทั้ง 4 ตัวแปร สามารถร่วมกันพยากรณ์และมีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดมหาสารคาม ได้ร้อยละ 40.9 (R<sup>2</sup> = 0.409, p<0.001)</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270861
ประสิทธิภาพของการรักษาโรคเล็บสะเก็ดเงินด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ชนิดแฟรกชั่นนัลร่วมกับยาทาสเตียรอยด์ เทียบกับการใช้ยาทาสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว: การศึกษาแบบสุ่มและติดตามผล
2024-08-30T13:16:37+07:00
ภัทร์พิชชา เจดีย์
udh.medicaljournal@gmail.com
พัชรสินี ประสันนาการ
udh.medicaljournal@gmail.com
นำพร อินสิน
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>ปัจจุบันการรักษาโรคเล็บสะเก็ดเงินเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นโรคที่ยากต่อการรักษาและยากต่อการคาดคะเนผลการรักษาสำหรับผู้เป็นแพทย์ การตอบสนองต่อการรักษาไม่ค่อยได้ผลดีและมีการกลับเป็นซ้ำสูง เนื่องจากทายาที่ใช้ในการรักษาไม่สามารถซึมผ่านตัวเล็บสะเก็ดเงินที่หนาได้ การใช้คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ชนิดแฟรกชั่นนัล (FCO<sub>2</sub> laser) สามารถทำให้เล็บเป็นรูขนาดเล็กจึงทำให้ยาทาสามารถซึมผ่านเล็บได้มากขึ้น ซึ่งจากการค้นคว้าพบว่า ยังไม่มีการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาโรคเล็บสะเก็ดเงินด้วย FCO<sub>2</sub> laser ในประเทศไทยมาก่อน โดยงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพ, เปรียบเทียบผลการรักษา, ตลอดจนความพึงพอใจและผลข้างเคียงของการรักษา ระหว่างการรักษาด้วย FCO<sub>2 </sub>laser ร่วมกับทายาทาสเตียรอยด์ และการรักษาด้วยการใช้ทายาสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบสุ่มและติดตามผล ดำเนินการศึกษาวิจัยที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึง พฤษภาคม 2567 โดยรวบรวมอาสาสมัคร 24 ราย ที่เป็นผู้ป่วยโรคเล็บสะเก็ดเงินที่นิ้วมือทั้ง 2 ข้าง โดยเล็บมือแต่ละข้างจะได้รับการสุ่มให้ได้รับการรักษาด้วยวิธี FCO<sub>2 </sub>laser ทุก 2 สัปดาห์ จำนวน 6 ครั้ง ร่วมกับการทายาสเตียรอยด์ (0.25% Desoximetasone lotion) ที่เล็บวันละ 2 ครั้งทุกวัน จนครบ 22 สัปดาห์ และเล็บมืออีกข้างของอาสาสมัครจะได้รับการรักษาโดยการทายาสเตียรอยด์ที่เล็บวันละ 2 ครั้ง ทุกวันเพียงอย่างเดียว จนครบ 22 สัปดาห์ โดยการติดตามประเมินผลจะใช้ดัชนีประเมินความรุนแรงของเล็บสะเก็ดเงิน (Nail Psoriasis Severe Index: NAPSI) ประเมินที่ 22 สัปดาห์เปรียบเทียบกับก่อนได้รับการรักษา</p> <p>ผลการวิจัย จากอาสาสมัครทั้งหมด 24 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 75.0 อายุเฉลี่ย 53.5 ปี อาสาสมัครทายาสเตียรอยด์สม่ำเสมอทุกวันร้อยละ 100.0 และพบว่าเล็บสะเก็ดเงินที่ได้รับการรักษาด้วย FCO<sub>2</sub> laser ร่วมกับการทายาสเตียรอยด์ มีค่าเฉลี่ยของ nail matrix, nail bed, total NAPSI ที่ 22 สัปดาห์ ดีขึ้นอย่างมากและมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.001 ทุกรายการ) เมื่อเทียบกับก่อนได้รับการรักษา ในขณะที่เล็บสะเก็ดเงินที่รักษาโดยทายาสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียวพบว่าที่ 22 สัปดาห์ มีเพียงแค่ค่าเฉลี่ย nail matrix NAPSI ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value=0.036) เมื่อเทียบกับก่อนได้รับการรักษา และเมื่อทำการเปรียบเทียบหลังการรักษาที่ 22 สัปดาห์ระหว่างทั้ง 2 กลุ่มพบว่า กลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วย FCO<sub>2</sub> laser ร่วมกับการทายาสเตียรอยด์ มีค่าเฉลี่ยของ nail matrix, nail bed, total NAPSI ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกลุ่มรักษาโดยทายาสเตียรอยด์เพียงอย่างเดียว (p-value=0.03, p-value=0.03 และ p-value=0.02 ตามลำดับ) ผลข้างเคียงที่พบในงานวิจัยนี้คือความเจ็บปวดขณะทำ FCO<sub>2</sub> laser โดยพบว่าอาสาสมัครร้อยละ 20.8 มีอาการเจ็บเล็กน้อยแต่สามารถทนได้ขณะทำหัตถการ FCO<sub>2</sub> laser</p> <p>สรุปผลการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแรกในประเทศไทย ที่ศึกษาถึงการใช้ FCO<sub>2</sub> laser ในการรักษาโรคเล็บสะเก็ดเงิน และพบว่าการใช้ FCO<sub>2 </sub>laser ในการช่วยนำพายาทาสเตียรอยด์ในโรคเล็บสะเก็ดเงินนั้นได้ผลดีและผู้ป่วยสามารถทนต่อการรักษาได้ดี อีกทั้งผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยเครื่อง FCO<sub>2</sub> laser ได้ง่าย เนื่องจากเป็นเครื่องเลเซอร์ที่สามารถพบได้ตามโรงพยาบาลหรือคลินิกต่างๆ จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีที่ใช้ในการรักษาโรคเล็บสะเก็ดเงินให้แก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/article/view/270862
ผลการปฏิบัติตามกระบวนชุดการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) ภายใน 1 ชั่วโมงต่อการเสียชีวิตใน 30 วัน ในโรงพยาบาลบ้านผือ
2024-08-30T13:26:54+07:00
สาคร เสริญไธสง
udh.medicaljournal@gmail.com
<p>กระบวนชุดการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดภายใน 1 ชั่วโมง ถูกประกาศใช้เป็นแนวปฏิบัติใน Surviving Sepsis Campaign (SSC) 2018 มีหลักฐานว่าการปฏิบัติตามกระบวนชุดภายใน 3 ชั่วโมงช่วยลดอัตราเสียชีวิตได้ แต่ยังไม่ชัดเจนสำหรับระยะเวลา 1 ชั่วโมง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติตามกระบวนชุดการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดภายใน 1 ชั่วโมง (1-hour sepsis bundle) ต่อการเสียชีวิตใน 30 วัน ในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ้านผือ เป็นการวิจัยรูปแบบการศึกษาเชิงพรรณนา (retrospective descriptive study) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) ที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลบ้านผือ สุ่มตัวอย่างเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 119 ราย ในช่วงเวลาเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 – มีนาคม พ.ศ.2566 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบบันทึกข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาลบ้านผือและเครื่องมือที่เป็นมาตรฐาน ได้แก่ Clinical Practice Guideline Sepsis, Septic Shock Fast Track การใช้ SOS Scores และการใช้ Complete 1-hour bundle การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน (Inferential Statistics Analysis) ใช้ Chi- square, t test และ logistic regression</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong> : ผู้ป่วยในงานวิจัย 119 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 61.34 อายุเฉลี่ย 59.24 ปี ส่วนใหญ่มีแหล่งติดเชื้อ (source of infection) เป็นปอดอักเสบ (pneumonia) อัตราการใส่เครื่องช่วยหายใจ ร้อยละ 21.85 ปฏิบัติตามแนวทาง 1-hour bundle ได้ 76 ราย คิดเป็นร้อยละ 63.87 อัตราเสียชีวิตใน 30 วัน ร้อยละ 31.09 จำแนกตามกลุ่มที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติตามแนวทาง 1-hour bundle เท่ากับร้อยละ 28.95 และ 34.88 ตามลำดับ แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ (p=0.60) ไม่พบปัจจัยใดที่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong> : อัตราการเสียชีวิตใน 30 วัน ในผู้ป่วยที่ปฏิบัติตามชุดกระบวนการรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่ 1 ชั่วโมง (1-hour bundle) มีสัดส่วนต่ำกว่าแต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับการไม่ได้ปฏิบัติตามชุดกระบวนการรักษาดังกล่าว ควรศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาปัจจัยที่เพิ่มอัตราการปฏิบัติตาม 1-hour sepsis bundleให้สูงขึ้น รวมทั้งศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการอัตราการเสียชีวิตใน 30 วัน ของผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis)</p>
2024-08-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024