วชิรสารการพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj <p>วชิรสารการพยาบาลเริ่มก่อตั้ง ตั้งแต่พ.ศ.2526 มีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วย เช่น โรคเฉียบพลัน โรคเรื้อรัง การดูแลผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิต การรักษาแบบประคับประคอง การสร้างเสริมสุขภาพและนวัตกรรม วัตถุประสงค์ของวารสารเพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิจัย บทวามทางวิชาการ และปกิณกะ ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลและบุคลากรด้านสุขภาพต่างๆ ทุกบทความได้รับการควบคุมคุณภาพโดยผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการและผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขา (Peer Review) ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในสาขาการพยาบาล และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีกระบวนการประเมินแบบ double-blind review</p> <p>กำหนดการออกวารสารของวารวชิรสารการพยาบาล เป็นราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ)</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน</p> <p> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม </p> <p>วชิรสารพยาบาลจัดทำเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบตีพิมพ์ (Print ISSN 3027-8058) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online ISSN 3027-8066)<br />สำหรับผู้สนใจ ที่จะส่งผลงานมาเพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวชิรสารการพยาบาล ในระบบ Thai Journals Online System ทางวชิรสารการพยาบาลมีค่าดำเนินการ ต่อเรื่อง เพื่อเป็นค่าดำเนินการในการพิจารณาคุณภาพของบทความก่อนได้รับการตอบรับตีพิมพ์และค่าดำเนินการในระบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้</p> <p>1.ประเภทบุคคลภายนอกสังกัดมหาวิทยาลัยนวมิทราธิราช ค่าดำเนินการ 2,500 บาท (สองพันห้าร้อยบาทถ้วน)</p> <p>2. ประเภทบุคคลภายในสังกัดมหาวิทยาลัยนวมิทราธิราช ค่าดำเนินการ 1,250 บาท (หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)</p> <p>วชิรสารการพยาบาลเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งเปิดโอกาสรับตีพิมพ์ให้กับต้นฉบับที่มีคุณภาพเพื่อการเผยแพร่สู่สาธารณชน ค่าดำเนินการที่เรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายขั้นต่ำสำหรับกระบวนการต่างๆ ของการจัดการคุณภาพ เช่น การตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และกระบวนการจัดทำอาร์ตเวิร์กสำหรับหารเผยแพร่ออนไลน์ ขั้นตอนการชำระเงินมีดังนี้</p> <p>1. เมื่อส่งบทความแล้วกระบวนการคัดกรองครั้งแรกของวารสารจะดำเนินการโดยทีมบรรณาธิการ โดยกำหนดแจ้งผลการพิจารณาภายใน 30 วัน หากเอกสารที่ส่งมาไม่เป็นไปตามเกณฑ์การคัดกรอง บทความจะถูกปฏิเสธ (Reject) ผ่านทางระบบ <strong>ในขั้นตอนคัดกรองนี้ผู้ส่งบทความยังไม่ต้องชำระเงินและสามารถขอคำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับการปฏิเสธการพิจารณาการยอมรับการตีพิมพ์ได้</strong></p> <p>2. <strong>เมื่อบทความผ่านการคัดกรองครั้งแรกแล้ว ได้รับการตอบรับตีพิมพ์ (Accept) ให้ผู้แต่งดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมผ่านทาง บัญชี ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 176-0-33792-7 ชื่อบัญชี นางสาวจงจิตต์ แจ้งหมื่นไวย์ </strong>โดยวชิรสารการพยาบาลจะส่งใบเสร็จรับเงินทางอีเมลของผู้แต่งภายใน 7 วัน หลังชำระเงินเรียบร้อย</p> <p>3. โปรดทราบว่าบทความที่ส่งเข้ามาสามารถถูกปฏิเสธได้ในภายหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำแนะนำในการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิและการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของทีมบรรณาธิการวารสาร หรือกรณีเจ้าของบทความมีความประสงค์ขอถอนบทความภายหลังการตอบรับตีพิมพ์แล้ว <strong>ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงิน ไม่่สามารถขอคืนได้ </strong>หากบทความผ่านการพิจารณาแล้วว่าไม่พร้อมที่จะได้รับการตีพิมพ์</p> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวชิรสารการพยาบาลถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง&nbsp; ซึ่ง<strong>กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย&nbsp; หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น</strong></p> <p>บทความ&nbsp; ข้อมูล&nbsp; เนื้อหา&nbsp; รูปภาพ ฯลฯ&nbsp; ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวชิรสารการพยาบาล&nbsp; ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวชิรสารการพยาบาล&nbsp; หากบุคคลใดหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะ<strong>ต้องได้รับอนุญาต</strong>เป็นลายลักอักษรจากวชิรสารการพยาบาลก่อนเท่านั้น</p> <p>&nbsp;</p> vajira.vnj@gmail.com (Thamonwan Yodkolkij) vajira.vnj@gmail.com (Melin Kontee) Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลกดทับใหม่ในผู้ป่วยวิกฤตและโรคหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/270409 <p>แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของผู้ป่วยทั่วโลกและพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยวิกฤต เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไข การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบวิเคราะห์ย้อนหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลกดทับใหม่ทุกรายในผู้ป่วยวิกฤตและโรคหลอดเลือดสมองในโรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2565 เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงวิเคราะห์ โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียน อิเล็กทรอนิคย้อนหลัง เลือกกลุ่มตัวอย่าง 91 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ การถดถอยพหุนาม (multinomial logistic regression) นำเสนอด้วยค่า Adjusted OR (AOR) ที่ช่วงความเชื่อมั่น 95% ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดแผลกดทับใหม่ในผู้ป่วยวิกฤตและโรคหลอดเลือดสมอง จากน้อยไปมาก ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส (p=0.047) ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน (p=0.037) ค่าดัชนีมวลกาย &lt;18.5kg/m2 (p=0.015) ระยะเวลาการนอนในหอผู้ป่วยวิกฤตและโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 7 วัน (p=0.004) และผู้ป่วยติดเตียง (p=0.001) การศึกษาครั้งนี้ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลกดทับใหม่ นำไปสู่การวางแผนการพยาบาลเพื่อลดการเกิดแผลกดทับใหม่ ให้เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายตามปัจจัยเสี่ยงข้างต้น</p> ลันธิยา ศรีเทศ, ชลิดา เกิดภิรมย์, อวยพร กริ่งรัมย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/270409 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกและปัจจัยเกี่ยวข้อง หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272169 <p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยย้อนหลังเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางคลินิกและปัจจัยเกี่ยวข้องหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โดยใช้ข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์แบบนัดหมายล่วงหน้าและเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างวันที่1 มกราคม พ.ศ.2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 จํานวน 154 ราย รวบรวมข้อมูลโดยแบบบันทึกข้อมูล ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล และผลลัพธ์ทางคลินิกที่ไม่พึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยโลจิสติค ผลการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่มีอาการปวดเล็กน้อยหรือไม่มีอาการปวดทั้งก่อนและหลังผ่าตัด และไม่มีรายงานการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อน ความสามารถในการงอเข่าหลังผ่าตัดดีขึ้นจากก่อนการผ่าตัดเป็นมากกว่า 100 องศาภายใน 12 สัปดาห์หลังการผ่าตัด และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลเฉลี่ยไม่เกิน 5 วัน โดยผลลัพธ์ทางคลินิกที่ไม่พึงประสงค์หลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม 12 สัปดาห์ แสดงให้เห็นว่า อายุและดัชนีมวลกาย ทำนายการเกิดภาวะพิสัยการงอข้อเข่าติดขัด ใน 12 สัปดาห์ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น (OR=0.944, 95% CI=.897-.993) ดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น (OR=0.927, 95% CI=.864-.996) และพบดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้นเพิ่มความเสี่ยง 1.115 เท่าในการเกิดพิสัย การเหยียดข้อเข่าติด (OR=1.115, 95% CI=1.034-1.201) ผลการวิจัยนี้โรงพยาบาลสามารถใช้ในการวางแผนการผ่าตัดและออกแบบแนวทางการดูแลรักษาเพื่อลดการเกิดผลลัพธ์ทางคลินิกที่ไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมซึ่งจะส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย</p> พัชราภรณ์ เนตรสว่าง, อินทิรา รูปสว่าง, สุภาพ อารีเอื้อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272169 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของผู้ป่วย COVID-19 ที่เข้ารับบริการคลินิกไข้หวัดโรงพยาบาลวชิรพยาบาล https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273012 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้เพื่อศึกษาความชุกของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) รวมถึงวิเคราะห์ปัจจัยด้านลักษณะทางประชากรและสังคม (sociodemographic) และปัจจัยด้านอาการทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับผลการตรวจ RT-PCR ของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในคลินิกไข้หวัด โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยใช้ข้อมูลเวชระเบียนของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในคลินิกไข้หวัดโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2564 ถึง 31 กรกฎาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 390 ราย วิเคราะห์ด้วยสถิติไคสแควร์ และการวิเคราะห์การถดถอยลอจิสติกเพื่อหาความสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ความชุกของโรค COVID-19 ในกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ร้อยละ 11.8 (46 ราย) ปัจจัยด้านลักษณะทางประชากรและสังคม เช่น เพศ อายุ และอาชีพ ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านอาการทางคลินิกที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติกับผลตรวจRT-PCR ได้แก่ ชีพจรเร็วกว่า 100 ครั้งต่อนาที (OR=2.554, p=0.047) อัตราการหายใจมากกว่า 20 ครั้งต่อนาที (OR=5.051, p=0.005) อาการเจ็บคอ (OR=4.962, p=0.002) และมีเสมหะ (OR=54.234, p&lt;0.001) อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส อาการไอ ปวดกล้ามเนื้อ มีน้ำมูก หายใจลำบาก ปวดศีรษะเบื่ออาหารและสูญเสียการรับกลิ่น มีอัตราการเกิดสูงในกลุ่มที่ติดเชื้อแต่จากผลการศึกษานี้ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับผลการตรวจ RT-PCR</p> เลิศศิลป เอี่ยมพงษ์, จริยา ชื่นศิริมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273012 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมเสริมสร้างพฤฒพลังด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272628 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร้างพฤฒพลังด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง คือผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในตำบลหนองครก อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 44 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 22 คน งานวิจัยนี้พัฒนาขึ้นตามแนวคิดพฤฒพลังขององค์การอนามัยโลกร่วมกับทฤษฎีการรับรู้ความสามารถของตนเองของแบนดูราเครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 3 ส่วน คือส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนที่ 2 แบบสอบถามภาวะพฤฒพลังด้านสุขภาพของผู้สูงอายุ ส่วนที่ 3 แบบสอบถามความพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเป็นโปรแกรมเสริมสร้างพฤฒพลังด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความเที่ยงโดยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของคอนบราคมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 1.00, 0.86 และ 0.74 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test และ independent t-test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมโปรแกรมมีคะแนนเฉลี่ยภาวะพฤฒพลังด้านสุขภาพหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p&lt;.05)และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยภาวะพฤฒพลังด้านสุขภาพสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p&lt;.001)ผลการวิจัยสรุปได้ว่าโปรแกรมเสริมสร้างพฤฒพลังด้านสุขภาพเป็นโปรแกรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน รวมถึงพัฒนาโปรแกรมในบริบทชุมชนที่หลากหลายต่อไป</p> มุขจรินทร์ สุทธิสัย, ภาวินี ศรีสันต์, ยุภาวดี แซ่เตีย, สุภาวดี นันทะเสน, ศุภมาส ศรีอำนาจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272628 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยทำนายคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีทวารเทียม https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273071 <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงทำนายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตและปัจจัยทำนายคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีทวารเทียม ที่มารับบริการที่งานพยาบาลออสโตมีและแผล โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึง กันยายน 2566 จำนวน 96 ราย คัดเลือก กลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามคุณภาพชีวิตของ Padilla and Grant แบบประเมินความรู้เรื่องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีทวารเทียมและแบบสอบถามความสามารถในการดูแลตนเอง มีค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.93, 0.88, 0.94 และ 0.86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีทวารเทียมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄=54.34, S.D.=15.77) โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความคิดคำนึงเกี่ยวกับภาพลักษณ์ (x̄=76.82, S.D.=11.26) และด้านที่มีคะแนนต่ำสุดคือ ด้านการตอบสนองต่อการวินิจฉัยและการรักษาด้านโภชนาการ (x̄=44.63, S.D.=8.21) ปัจจัยที่สามารถทำนายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่่มีทวารเทียมได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้มากที่สุด คือ ความสามารถในการดูแลตนเอง (β=0.69, p&lt;0.001) รองลงมาคือ ภาวะโรคร่วม (β=-0.33, p=0.010) อายุ (β=0.21, p=0.014) และความรู้เรื่องโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่มีทวารเทียม (β=0.18, p=0.025) ตามลำดับ โดยตัวแปรทั้งหมดร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตได้ร้อยละ 77.5 (R²=0.600, p&lt;.05)</p> <p>ข้อเสนอแนะสำหรับการดูแลผู้ป่วยควรมีการส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองการจัดการภาวะโรคร่วมการปรับแผนการดูแลให้เหมาะสมกับช่วงวัยและการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส่ใหญ่และการดูแลทวารเทียม นอกจากนี้ ควรเน้นการพัฒนาแนวทางโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตมากที่สุด</p> อนุชตรา วรรณเสวก, วีรนุช เจียมบุญศรี, พลอยแก้ว ดวงแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273071 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่น โรงพยาบาลบางพลี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271563 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจอัตราความชุกของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่เข้ารับบริการฝากครรภ์ ณ โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ระหว่างปี พ.ศ. 2561–2565 โดยใช้ข้อมูลจากแฟ้มการให้บริการฝากครรภ์(ANC)ของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นอายุระหว่าง 10–19 ปีที่เข้ารับการฝากครรภ์และตรวจเลือด ข้อมูลที่ได้รับถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าจำนวนหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นทั้งหมด 1,598 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จำนวน 1,537 ราย (ร้อยละ 96.18) ขณะที่หญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีจำนวน 61 ราย (ร้อยละ 3.82) โดยพบว่าการติดเชื้อซิฟิลิสมีความชุกสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 2.57 รองลงมาคือการติดเชื้อ HIV คิดเป็นร้อยละ 1.25 แนวโน้มของการติดเชื้อซิฟิลิสมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราการติดเชื้อ HIV มีแนวโน้มลดลง ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่าการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะการติดเชื้อซิฟิลิสที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นควรมีการบูรณาการแผนปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ความรู้ การเข้าถึงบริการฝากครรภ์ที่ครอบคลุม และการส่งเสริมมาตรการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นเพื่อช่วยลดอัตราการติดเชื้อและเสริมสร้างสุขภาวะทางเพศในกลุ่มประชากรเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ </p> เขมิกา โรจน์ทังคำ, รวีวรรณ ศรีเพ็ญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271563 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสำรวจความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน สมรรถภาพการรู้คิด และภาวะเปราะบาง ของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการ ในคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กรุงเทพมหานคร https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273170 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน สมรรถภาพการรู้คิด และภาวะเปราะบางของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลกรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2566<strong> – </strong>ธันวาคม พ.ศ. 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน จำนวน 367 ราย เก็บข้อมูลพื้นฐานและการติดตามที่ 30 วัน ด้วยแบบสัมภาษณ์ 4 ส่วน ประกอบด้วย 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) ความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน 3) สมรรถภาพการรู้คิด และ 4) ภาวะเปราะบาง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยนอก 173 ราย อายุเฉลี่ย 73.48 ปี (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน standard deviation; SD=7.88 ปี) ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร้อยละ 0.6 บกพร่องการรู้คิด ร้อยละ 35.8 มีภาวะเปราะบาง ร้อยละ 16.7 ผู้ป่วยใน 194 ราย อายุเฉลี่ย 70.14 ปี (SD=7.46 ปี) ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ร้อยละ 3.6 บกพร่องการรู้คิด ร้อยละ 12.4 มีภาวะเปราะบาง ร้อยละ 17.5 และการติดตามการประกอบกิจวัตรประจำวัน สมรรถภาพการรู้คิด และภาวะเปราะบางที่ 30 วันไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยนอกที่ระดับ p=1.000, .238, .355 ผู้ป่วยในที่ระดับ p=.231, .893, .132 ตามลำดับ</p> <p>สรุปผลการวิจัย สามารถนำมาเป็นข้อมูลในการวางแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพผู้สูงอายุ การส่งต่อรวมถึงการติดตามอย่างต่อเนื่องทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเพื่อป้องกันการกลับมาใช้บริการซ้ำหรือลดการเสื่อมถอยของสุขภาพได้</p> พรศิริ กนกกาญจนะ, ธมลวรรณ ยอดกลกิจ, พุทธชาติ ใจกาศ, จิราภรณ์ ศรีอ่อน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/273170 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของวิสัญญีพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย เข้ารับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271564 <p>สถิติทะเบียนมะเร็งประเทศไทยปี 2565 รายงานว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงถือเป็น1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบมากในคนไทย มีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สาเหตุของโรคส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคโดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายบทบาทสำคัญของวิสัญญีพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) โดยเฉพาะการจัดการการใช้ยาระงับความรู้สึกอย่างเหมาะสมรวมถึงการเฝ้าระวังสัญญาณชีพของผู้ป่วยตลอดกระบวนการและการตอบสนองต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเช่นความดันโลหิตต่ำ การมีวิสัญญีพยาบาลที่เชี่ยวชาญในการดูแลการใช้ยาและเฝ้าติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดมีส่วนช่วยให้การส่องกล้องลำไส้ใหญ่เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษาลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มความพึงพอใจให้แก่ผู้ป่วยซึ่งเป็นผลดีทั้งในด้านคุณภาพการรักษาและการฟื้นตัวของผู้ป่วย</p> ลัดดาวัลย์ ประจวบกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271564 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือดแดงช่องท้องโป่งพองหลังการผ่าตัด ใส่หลอดเลือดเทียมผ่านสายสวนที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิด Atrial fibrillation (AF): กรณีศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271787 <p>โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องโป่งพองเป็นโรคระบบหลอดเลือดที่พบได้บ่อยในสังคมเมืองปัจจุบันนิยมรักษาด้วยผ่าตัดใส่หลอดเลือดเทียมผ่านสายสวนแม้การผ่าตัดมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดแต่พบว่าในผู้ป่วยที่มีโรคร่วมระบบหัวใจและหลอดเลือดเช่นหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด Atrial Fibrillation(AF)แม้ระยะก่อนผ่าตัดจะมีการควบคุมอาการของโรคได้เป็นอย่างดียังพบว่าหลังผ่าตัดมีโอกาสเกิดAFได้ซึ่งภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตส่งผลระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลยาวนานทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มสูงขึ้นตามมาบทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ประเด็นปัญหาและบูรณาการบทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยหลอดเลือดแดงช่องท้องโป่งพองหลังการผ่าตัดใส่หลอดเลือดเทียมผ่านสายสวนที่มีโรคร่วมเป็น AF เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยและเกิดผลลัพธ์ทางการพยาบาลที่ดี</p> กิตติญาภรณ์ พันวิไล, ศิราพร ปิ่นวิหค, อัญชลี กู้ภูเขียว, ชนานุช สารวิทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/271787 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการอาการของดอดด์เพื่อบรรเทาอาการปวดด้วยนวัตกรรมผ้าห่มอุ่นสุขในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับยาออกซาลิพลาติน : กรณีศึกษา https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272026 <p>การจัดการอาการปวดในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับยาออกซาลิพลาติน (oxaliplatin) ถือเป็นความท้าทายเนื่องจากยาออกซาลิพลาตินมักทำให้เกิดอาการปวดที่รุนแรงในการจัดการอาการปวดอย่างเหมาะสมจึงช่วยลดความทุกข์ทรมานและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยซึ่งกระบวนการจัดการอาการนี้มีความสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการอาการของดอดด์ที่มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเองผ่านมโนทัศน์ที่สำคัญคือประสบการณ์เกี่ยวกับอาการกลยุทธ์การจัดการอาการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหนึ่งในนวัตกรรมที่หอผู้ป่วยมหาวชิราวุธ 6A โรงพยาบาลวชิรพยาบาล พัฒนาขึ้นเพื่อบรรเทาอาการปวดคือ “ผ้าห่มอุ่นสุข” โดยใช้หลักการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 26–37 องศาเซลเซียส บริเวณที่ผู้ป่วยได้รับยาออกซาลิพลาตินเพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตลดการสะสมของกรดแลคติกและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงช่วยให้บรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ทำให้เกิดภาวะผิวหนังไหม้</p> <p>บทความนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการอาการของดอดด์ผ่านนวัตกรรมผ้าห่มอุ่นสุขในกรณีศึกษา 1 ราย ซึ่งพบว่าสามารถบรรเทาอาการปวดได้โดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนและผู้ป่วยมีความพึงพอใจจึงถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับยาออกซิลาพลาตินและมีอาการปวดในบริบทอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันได้ต่อไป</p> กัมพล อินทรทะกูล, สุภาพรรณ จําปาศรี, พิชญา บุณโยประการ, เมทินา มามะ, ธนาภรณ์ ศรีพุก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วชิรสารการพยาบาล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/272026 Wed, 25 Jun 2025 00:00:00 +0700