ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการ ทางการเคลื่อนไหว อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
คำสำคัญ:
ความสามารถในการดูแลตนเอง, คนพิการทางการเคลื่อนไหว, Self-care ability, people with mobility impairmentบทคัดย่อ
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงหาความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการทางการเคลื่อนไหว กลุ่มตัวอย่างได้แก่คนพิการทางการเคลื่อนไหวในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จำนวน 293 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคล แบบสัมภาษณ์ภาวะสุขภาพ แบบสัมภาษณ์การสนับสนุนทางสังคม และแบบสัมภาษณ์ความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการทางการเคลื่อนไหว โดยแบบสัมภาษณ์แต่ละชุดมีค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ .96, .85 และ .86 ตามลำดับ เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พอยท์ไบซีเรียล
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีภาวะสุขภาพ และความสามารถในการดูแลตนเองโดยรวมอยู่ในระดับดี (M = 7.33, SD = 1.40 และ M = 4.72, SD = 0.33 ตามลำดับ) และการสนับสนุนทางสังคมโดยรวมอยู่ในระดับมาก (M = 4.10, SD = 0.33) เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่าอายุและระดับความพิการมีความสัมพันธ์ทางลบกับความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการทางการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = -.12, p < .05 และ r = -.13, p < .05 ตามลำดับ) การศึกษา ภาวะสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการทางการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (r = .20, p < .01; r = .60, p < .001 และ r = .34, p < .001 ตามลำดับ) ส่วนเพศ รายได้ ระยะเวลาพิการไม่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการดูแลตนเองของคนพิการทางการเคลื่อนไหว จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะว่า พยาบาลและบุคลากรทางสาธารณสุขควรนำผลการวิจัยไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนากิจกรรมหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการยกระดับภาวะสุขภาพ และการสนับสนุนทางสังคมในกลุ่มผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่มีอายุมาก
Abstract
The purpose of this research was to examine factors related to self-care ability among people with mobility impairments in Banglamung district, Chonburi province. A simple random sampling method was used to recruit the sample of 293. Research instruments included a demographic, health status, social support and self-care agency questionnaire with Cronbach’s alpha coefficient .96, .85, and .86, respectively. Data collection took place from January to February, 2015. Data were analyzed by using descriptive statistics, Pearson’s product moment correlation coefficients, and point bi-serial correlation coefficient.
The results revealed that subjects’ health status and self-care ability were considered as a good level (M = 7.33, SD = 1.40 and M = 4.72, SD = 0.33 respectively) and social support was considered as a high level (M = 4.10, SD = 0.33). For correlation analysis, the age and disability level had a significantly negative correlation with self-care ability (r = -.12, p < .05 and r = -.13, p < .05 respectively); health status, education, and social support had significantly positive correlation with self-care ability (r = .20, p < .01; r = .60, p < .001 and r = .34, p < .001 respectively). However, sex, income, and period of the disabilities had no significant correlation with self-care ability. The findings suggest that nurses and health professionals should use the results to develop projects or activities for elderly people with mobility impairments to focus on health status and social support enhancement.