การพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง: กรณีศึกษาพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำซับ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
คำสำคัญ:
การพัฒนาศักยภาพ, อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน, การจัดการปัญหา, โรคไม่ติดต่อเรื้อรังบทคัดย่อ
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นตัวแทนบุคลากรด้านสุขภาพในการดูแลสุขภาพของประชาชนในชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ อสม. ด้วยการเพิ่มทักษะ (Upskill) ในการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยหลัก 4 อ. (อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย และเอาพิษออก) วัตถุประสงค์ครั้งนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพ อสม. และศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนา มีกลุ่มเป้าหมายเป็น อสม. 33 คน ถูกเลือกมาโดยความสมัครใจจาก 10 หมู่บ้านในพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำซับ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบปฏิบัติการ (Action research) มีการดำเนินงาน 3 ระยะคือ ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลเบื้องต้น ระยะที่ 2 กระบวนการพัฒนาศักยภาพ อสม. และระยะที่ 3 การศึกษาผลลัพธ์ของการพัฒนา ใช้เวลาดำเนินการ 10 เดือน (มกราคม ถึงตุลาคม 2563) เครื่องมือที่ใช้คือหลักสูตรฝึกอบรม อสม. Upskill แบบทดสอบ แบบสอบถาม และแบบประเมินทักษะการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง วิเคราะห์ข้อมูลปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังด้วย Paired t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
ผลการศึกษา พบว่าผลลัพธ์หลังดำเนินการพัฒนาศักยภาพ อสม. มีค่าคะแนนเกี่ยวกับการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทุกด้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ประกอบด้วยความรู้ (t=12.22, p<.001) การรับรู้ความสามารถของตนเอง (t=10.17, p<.001) ความคาดหวังในผลลัพธ์ (t=11.46, p<.001) และพฤติกรรมการจัดการตนเอง (t=13.55, p<.001) ผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญจากการดำเนินงานของ อสม. Upskill ในการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในชุมชน พบว่าผู้ที่ยังไม่ป่วยแต่มีความเสี่ยงต่อโรค ร้อยละ 100 คงความมีสุขภาพดีและยังไม่กลายเป็นผู้ป่วยรายใหม่ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 19.67 ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 45.90 ผู้ป่วยทั้งโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ร้อยละ 13.11 และผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง ร้อยละ 21.31 เหล่านี้สามารถควบคุมโรคได้ดี ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาครั้งนี้ยังพบอีกว่าผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้รับการปรับลดและเลิกการใช้ยาจากคำวินิจฉัยของแพทย์ได้ถึงร้อยละ 19.67 ในจำนวนนี้เป็นการปรับลดการใช้ยาในผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงเท่ากัน ร้อยละ 16.67 ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้มากถึงร้อยละ 50 และเลิกการใช้ยาในป่วยโรคความดันโลหิตสูงและผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงเท่ากัน ร้อยละ 8.33 อย่างไรก็ดี ผลจากการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถลดภาระงบประมาณของรัฐในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
เอกสารอ้างอิง
2. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (2560-2564). สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. กรุงเทพฯ. 2561.
3. กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. ข้อมูลสถานะสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 จาก http://healthdata.moph.go.th/DeathReport2005/GUI2007/LoginForm.php. 2562.
4. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา. รายงานข้อมูลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. [ออนไลน์]. เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 จาก https://nma.hdc.moph.go.th/hdc/main/index_pk.php. 2562.
5. โรงพยาบาลปักธงชัย. รายงานผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปี 2562. โรงพยาบาลปักธงชัย อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา: เอกสารอัดสำเนา. 2562.
6. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำซับ. รายงานผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปี 2562. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลน้ำซับ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา: เอกสารอัดสำเนา. 2562.
7. Parry. The Quest for Competencies. Training. 1996. 7(33); 48-56.
8. Hagan. Competence in Social Work Practice: A practice Guide for Professionals. London: Jessica Kingley. 1996.
9. Knowles. The Adult Learner. A Neglected Species 2nd ed. Houston: Gulf Publishing. 1978.
10. พุฒิพงศ์ สัตยวงศ์ทิพย์ และคณะ. การพัฒนาศักยภาพพระสงฆ์ ในการป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อนของโรคเรื้อรัง ตำบลหนองพลวง อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา.นครราชสีมา. รายงานวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา: เอกสารอัดสำเนา. 2561.
11. ทองทิพย์ สละวงษ์ลักษณ์ และ อรรถวิทย์ สิงห์ศาลาแสง. การพัฒนาศักยภาพนักศึกษาในการเยี่ยมบ้านคลายทุกข์ ตำบลหนองพลวง อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา. วารสารสืบเนื่องการประชุมวิชาการระดับชาติ เครือข่ายบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ครั้งที่ 19 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. เชียงใหม่: 2562. 105-118.
12. คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. หลักสูตร ยา 8 ขนาน สังหาร NCD. นครราชสีมา. เอกสารอัดสำเนา. 2562
13. Kemmiss and Mc taggrat. The Action research planner.3rd ed. Deakin University press: Victoria. 1980.
14. Bandura. Self–efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological
Review. 1977. 84(2); p191-215.
15. ศิริพร พึ่งเพ็ชร์. การพัฒนารูปแบบกรสอนภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับลีลา การเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา. ปริญญานิพนธ์การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน บัณฑฺตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล. นครราชสีมา. 2553.
16. สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโชคชัย. รายงานการการประเมินผลโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา: เอกสารอัดสำเนา. 2562.
17. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองปรึก. รายงานการการประเมินผลโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ตำบลทุ่งอรุณ อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา: เอกสารอัดสำเนา. 2562.
18. ศิริเนตร สุขดี. การพัฒนารุปแบบการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังด้วยการมีส่วนร่วมของชุมชน. ปริญญาดุษฎีนิพนธ์ สาขาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์. กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2560.
19. ทองทิพย์ สละวงษ์ลักษณ์, เนตรชนก คงทน และ สุธาสินี หาญชนะ. การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย ตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. รายงานวิจัย กองทุนวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา: นครราชสีมา. 2561.
20. เริงฤทธิ์ ทองอยู่, ดวงพร ปิยะคง และ สมลักษณ์ เทพสุริยานนท์. ผลของโปรแกรมการพยาบาลอย่างมีเป้าหมายร่วมกันต่อความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. วารสารพยาบาลและการดูแลสุขภาพ. 2562. 37(2); 103 - 112.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา ถือว่าเป็น
ลิขสิทธิ์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา
