บทบาทของความเชื่อด้านสุขภาพในพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน กรณีศึกษาในเขตสุขภาพที่ 5
คำสำคัญ:
ความเชื่อด้านสุขภาพ, ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ , พฤติกรรมการบริโภคอาหาร , หญิงตั้งครรภ์ , ค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐานบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์ และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของหญิงตั้งครรภ์ ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน ในเขตสุขภาพที่ 5 กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ 300 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์เพียร์สันและการถดถอยเชิงพหุผลการวิเคราะห์ ผลการวิจัย พบว่า
ความเชื่อด้านสุขภาพและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับปานกลางกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสำคัญ และปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับต่ำกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ พบว่า ความเชื่อด้านสุขภาพ ประกอบด้วย การรับรู้ถึงความเสี่ยง การประเมินความรุนแรงของผลกระทบ การตระหนักถึงประโยชน์จากการปรับพฤติกรรม ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ระดับการศึกษา รายได้ อาชีพ และปัจจัยด้านความรู้เกี่ยวกับสุขภาพสามารถอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการบริโภคอาหารร้อยละ 54.70 (Adjusted R2 เท่ากับ 0.547)
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อด้านสุขภาพ การพัฒนาความรู้ ด้านสุขภาพ และการสนับสนุนจากปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้หญิงตั้งครรภ์ตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่เหมาะสม อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในมิติสุขภาพของแม่และทารกในระยะยาว
References
Centers for Disease Control and Prevention . (2021). Obesity Among Women of Childbearing Age. https://www.cdc.gov/obesity/data/childbearing.html
Champion V., L. & Skinner C. S. (2008). The health belief model. In K. Glanz B. K. Rimer & K. Viswanath (Eds.) Health behavior and health education Theory research and practice (pp. 45-65). Jossey-Bass.
Cochran, W., G. (1977). Sampling Techniques (3rd ed.). John Wiley & Sons.
Duncanson, K., Burrows, T., Holman, B., & Collins, C. (2018). Family perceptions of benefits and challenges of child dietary behavior change. Health Education & Behavior, 45(4), 573–580.
Kominiarek M. A. & Peaceman A. M. (2017). Gestational weight gain. American Journal of Obstetrics and Gynecology 217(6) 642-651. https//doi.org/10.1016/j.ajog.2017.05.044
Likert, R. (1932). A Technique for the Measurement of Attitudes. Archives of Psychology, 140, 1-55.
Nutbeam, D. (2000). Health literacy as a public health goal: A challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health Promotion International, 15(3), 259–267.
Rasmussen K. M. & Yaktine A. L. (Eds.). (2009). Weight gain during pregnancy Reexamining the guidelines. National Academies Press.
Rosenstock, I. M., Strecher, V. J., & Becker, M. H. (1988). Social learning theory and the health belief model. Health Education Quarterly, 15(2), 175–183.
Rudolph M. C. McManaman J. L. & Neville M. C. (2020). Obesity and pregnancy. Annual Review of Physiology 82 421-439. https//doi.org/10.1146/annurev-physiol-021119-034542
World Health Organization. (2020). Obesity and overweight.https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/obesity-and-overweight
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทีตีพิมพ์ในวารสารนี้ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี และผลงานวิชาการหรือวิจัยของคณะผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นของบรรณาธิการหรือผู้จัดทํา