ผลของโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีกลุ่มเสี่ยง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีกลุ่มเสี่ยง อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยใช้กรอบแนวคิดแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีกลุ่มเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกที่มีอายุ 30-60 ปี สถานภาพสมรส คู่ ไม่ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในรอบ 5 ปี จำนวน 62 คน โดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์คัดเข้าศึกษา เครื่องมือวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกกลุ่มเสี่ยง และแบบสอบถาม มี 3 ส่วน ได้แก่ (1) ข้อมูลทั่วไป (2) การรับรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา 1.0 มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง 0.86 และ (3) ความตั้งใจตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบที การทดสอบวิลคอกซันแมทช์แพร์สซายน์แรงค์ และการทดสอบซี ผลการวิจัย พบว่า (1) หลังได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีการรับรู้เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกโดยรวม การรับรู้โอกาสเสี่ยงและความรุนแรงของมะเร็งปากมดลูก การรับรู้ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม และกลุ่มเปรียบเทียบ และมีการรับรู้อุปสรรคของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) หลังได้รับโปรแกรม สตรีที่มีความตั้งใจมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในกลุ่มทดลอง มีจำนวนมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2563). แนวทางการบันทึกข้อมูลโครงการคัดกรองมะเร็ง
ปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNATesting. กรุงเทพมหานคร: ผู้แต่ง.
กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย. (2559). มะเร็งปากมดลูก [วีดิทัศน์]. นนทบุรี: ผู้แต่ง.
กานดา ศรีตระกูล, และพิษณุรักษ์ กันทวี. (2560). ผลของโปรแกรมการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ ต่อระดับทัศนคติ
ในสตรีที่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตำบลท่าข้าวเปลือก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย.
เชียงรายเวชสาร, 9(1), 123-132.
จิตติ หาญประเสริฐพงษ์, และสายบัว ชี้เจริญ. (บก.). (2554).วิทยาการร่วมสมัยในมะเร็งนรีเวชวิทยา. สงขลา: ชานเมืยง
การพิมพ์.
ชวพรพรรณ จันทร์ประสิทธิ์, และวิลาวัณย์ เสนารัตน์. (2553). การพยาบาลกับการส่งเสริมสุขภาพ. ใน เอกสารการ
สอนชุดวิชา มโนมติและกระบวนการพยาบาล ฉบับปรับปรุง (พิมพ์ครั้งที่ 13, หน้า 1-57). นนทบุรี: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ธรรณพร กิตติสยาม. (2562). การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก[วีดิทัศน์]. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาสูติศาสตร์-นรี
เวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช.
นันทิดา จันต๊ะวงค์, ปิยธิดา ตรีเดช, สุคนธา ศิริ, และชาญวิทย์ ตรีเดช. (2558). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการ
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในสตรีกลุ่มเป้าหมาย อายุ 30-60 ปี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวิทยาลัย
พยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28(1), 63-79.
ปริยานุช รุ่งเรือง, ภรณี วัฒนสมบูรณ์, สุปรียา ตันสกุล, และลักขณา เติมศิริกุลชัย. (2558). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรม
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ไม่เคยตรวจคัดกรองในช่วง 3 ปีที่ผ่าน. Veridian E-Journal
Science and Techonology Silpakorn University, 2(2), 36-49.
รจเรข ธรรมกร่าง, ธราดล เก่งการพานิช, มณฑา เก่งการพานิช, และขวัญเมือง แก้วดำเกิง. (2557). การประยุกต์แบบ
แผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
สตรีอายุ 30-60 ปี ที่ไม่เคยตรวจคัดกรอง. Veridian E-Journal Science and Techonology Silpakorn
University, 1(5), 19-29.
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหนองจอก. (2560). รายงานการประชุม เรื่อง สรุปผลการดำเนินงานปีงบประมาณ
วันที่ 5 ตุลาคม 2560. (เอกสารอัดสำเนา).
วสันต์ ลีนะสมิต, พรสม หุตะเจริญ, กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง, บุญฤทธิ์ สุขรัตน์, กอบกุล ไพศาลอัชพงษ์, และชลิดา เกษประดิษฐ์.
(2559). การควบคุมมะเร็งปากมดลูกที่ครอบคลุม: แนวทางปฏิบัติที่สำคัญ. นนทบุรี: สำนักอนามัยเจริญพันธ์
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.
สถาพร พฤฑฒิกุล. (2558).คุณภาพผู้เรียนเกิดจากกระบวนการเรียนรู้. สระแก้ว: คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัย
บูรพา วิทยาเขตสระแก้ว.
ไอรีน เรืองขจร. (2561). มะเร็งปากมดลูก. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราช
พยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
Becker, M. H., Drachman, R. H., & Kirscht, J. P. (1974). A new approach to explaining sick-role behavior
in low-income populations. American Journal of Public Health, 64(3), 205-216.
Strecher, V. J., & Rosenstock, I. M. (1996). The health belief model. In K. Glanz, F. Lewis, & B. Rimer.
(Eds.). Health behavior and health education: Theory, research, and practice (2nd. ed., pp. 41-59).
San Francisco, CA: Jossey-Bass.
Winkler, J., Bingham, A., Coffey, P., & Handwerker, W. P. (2008). Women's participation in a
cervical cancer screening program in northern Peru. Health Education Research, 23(1),
-24. doi: 10.1093/her/cyl156