The relationship between health beliefs and stroke preventive behaviors in Diabetes Mellitus patients with hypertension

Main Article Content

Pantip Compichai
Kamontip Khungtumneam
Jariyawat Kompayak

Abstract

This research aimed to study the relationship between health beliefs and stroke preventive behaviors in diabetes mellitus patients with hypertension. The sample consisted of diabetes mellitus patients with hypertension who came to receive services in Nongprue of Tambon Health Promoting Hospital, Samut Prakan province, purposively collected 110 people. Research tools were questionnaires on stroke preventive behaviors, and health beliefs. Pass the validation check content oriented from 3 experts and content validity index [CVI] = .0875-1.000 The Cronbach’s alpha coefficients are equal to .867, .753, .718, .726, .768 and .700. The data is analyzed by mean, standard deviation, Spearman Rank Correlation, Mann-Whitney U Test, and Kruskal-Wallis H Test. The results showed that the sample group had overall stroke preventive behaviors at a moderate level (gif.latex?\tilde{X} = 3.35, SD = 0.333). There were significant factors associated with stroke preventive behaviors; marital status (KW = 9.688, p < .05),  perceived severity of stroke (rs = .303, p < .001), perceived susceptibility of stroke (rs = .267, p < .01), perceived benefits to stroke preventive behaviors (rs = .249, p < .01), and perceived self-efficacy to stroke preventive behaviors (rs = .228, p < .05)


 

Article Details

How to Cite
Compichai, P. . ., Khungtumneam, K. ., & Kompayak, J. (2022). The relationship between health beliefs and stroke preventive behaviors in Diabetes Mellitus patients with hypertension. Thai Journal of Nursing, 71(3), 1–9. Retrieved from https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/view/254027
Section
Research Article

References

กระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์. (2562). สรุปการตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 6 ครั้งที่ 1 ปี 2562. สืบค้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2563, จาก http://www.spko.moph.go.th/wp-content

กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค. (2560). จำนวนและอัตราผู้ป่วยใน ปี 2559 – 2561 (ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หลอดเลือดหัวใจ, หลอดเลือดสมอง, COPD) ต่อประชากรแสนคน 100,000 คน (รวมทุกการวินิจฉัยโรค) จำแนกรายจังหวัด เขตบริการสุขภาพ และภาพรวมประเทศ (รวมกรุงเทพมหานคร). สืบค้นเมื่อ 12 มกราคม 2563, จาก http://www.thaincd.com/2016/mission/documents-detail

กระทรวงสาธารณสุข กองยุทธศาสตร์และแผนงาน. (2561). สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2561. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2563, จาก https://bps.moph.go.th

กษมา เชียงทอง. (2554). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ การรับรู้อาการเตือนและพฤติกรรมการจัดการโรคหลอดเลือดสมองในกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณทิต ไม่ได้ตีพิมพ์). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่.

กาญจนา โม่มาลา, และพิสุทธิ์ คงขำ. (2563). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพบ้านเก่า อำเภอโพธิธาราม จังหวัดราชบุรี. วารสาร มฉก.วิชาการ, 24(2), 172-185.

ขวัญดาว กลั่นรัตน์, คีรีบูน จงวุฒิเวศย์, ภัทรพล มหาขันธ์, และนวลฉวี ประเสริฐสุข. (2556). ปัจจัยเชิงสาเหตุของพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุในเขตภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 7(3),93-104.

ชูชาติ กลิ่นสาคร, และสุ่ยถิน แซ่ตัน. (2563). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน, 2(2), 62-77.

นิรัชรา จ้อยชู, วันเพ็ญ ภิญโญภาสกุล, และวิชชุดา เจริญกิจการ. (2557). ความสัมพันธ์ระหว่างอายุ การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพ การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพกับการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน. รามาธิบดีพยาบาลสาร, 20(2), 238-248.

เนาวรัตน์ จันทานนท์, บุษราคัม สิงห์ชัย, และวิวัฒน์ วรวงษ์. (2554). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในอําเภอเมือง จังหวัดชุมพร. วารสารวิจัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 16(6), 749-758.

บวรลักษณ์ ทองทวี, เยาวรัตน์ มัชฌิม, และศิริลักษณ์ แก้วศรีวงค์. (2561). ประสบการณ์ของสมาชิกครอบครัวในการดูแลบุคคลที่เจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยา. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์, 38(3), 179- 191.

บุญชม ศรีสะอาด. (2554). หลักการวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 9). กรุงเทพมหานคร: สุวิริยาสาส์น.

ยุทธนา ชนะพันธ์, และดาริวรรณ เศรษฐีธรรม. (2561). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี. วารสารโรงพยาบาลสกลนคร, 21(2), 109-119.

ศิราณีย์ อินธรหนองไผ่, วีณา จำเริญบุญ, จิราภรณ์ ฉัตรศุภกุล, และธัญชนก กองทอง. (2561). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นเบาหวาน และความดันโลหิตสูง อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฉบับพิเศษ), 573-582.

สมรัตน์ ขำมาก. (2559). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลนางเหล้า อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, 3(3), 153-169.

Bandasak, R., Narksawat, K., Tangkanakul, C., Chinvarun, Y., & Siri, S. (2011). Association between hypertension and stroke among young Thai adults in Bangkok, Thailand. The Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and Public Health, 42(5), 1241-1248.

Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. In M. H. Becker. (Ed.). The health belief model and personal health behavior (pp. 1-8). Thorofare, NJ: Charles & Slack.

World Health Organization (WHO). (2014). Global status report on noncommunicable diseases 2014. Geneva: Author.

World Health Organization (WHO). (2015). Stroke, cerebrovascular accident. Retrieved June 28, 2016, from http://www.who. int/topics/cerebrovascular_accident/en