ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุของเด็กไทยอายุ 3-5 ปีเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ยากจนและไม่ยากจน

Main Article Content

สุณี วงศ์คงคาเทพ

บทคัดย่อ

การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุของเด็กไทยอายุ 3-5 ปีเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ยากจนและไม่ยากจน  ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างในศูนย์เด็กเล็ก 246 แห่ง ศูนย์เด็กเล็กละ 10  ราย  กระจายใน 20 จังหวัด  ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม พ.ศ. 2554  เก็บข้อมูลจากการตรวจสุขภาพช่องปากเด็ก ร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้ดูแลเด็ก  วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติไค-สแควร์ และการวิเคราะห์ความถดถอยโลจิสติก การศึกษานี้ใช้เกณฑ์แบ่งความยากจนคือรายได้ครอบครัวต่อเดือนต่ำกว่า 5,000 บาท  จำนวนเด็กในการวิเคราะห์จำนวน 2,113 คน   มีเด็กในกลุ่มยากจนร้อยละ 29.3 พบปัญหาฟันผุร้อยละ 66.6   ส่วนเด็กไม่ยากจนพบอัตราผุ 57.7   ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุในการศึกษานี้  เรียงจากปัจจัยที่มีน้ำหนักความสัมพันธ์มากไปหาน้อย คือ อนามัยช่องปากของเด็ก การบริโภคน้ำอัดลม จำนวนความถี่ในการบริโภคขนมและเครื่องดื่ม  การบริโภคอาหารที่มีรสหวานประจำ  การได้รับบริการฟลูออไรด์เฉพาะที่  และ การบริโภคนมหวานประจำ  เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทั้ง 6 ระหว่างเด็กในครอบครัวยากจนและไม่ยากจน   พบว่ามีปัจจัยที่มีความแตกต่างระหว่าง 2 กลุ่ม คือ 1) อนามัยช่องปาก 2) การได้รับการทาฟลูออไรด์วานิช 3) การบริโภคอาหารหวานประจำ และ 4ความถี่ในการบริโภคขนมและเครื่องดื่มต่อวัน   โดยอนามัยช่องปากเป็นปัจจัยที่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มยากจนและไม่ยากจนมากที่สุด ส่วนการบริโภคน้ำอัดลมและการบริโภคนมหวานประจำพบมีสัดส่วนไม่แตกต่างใน 2 กลุ่ม

Downloads

Download data is not yet available.

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
1.
วงศ์คงคาเทพ ส. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุของเด็กไทยอายุ 3-5 ปีเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ยากจนและไม่ยากจน. Th Dent PH J [อินเทอร์เน็ต]. 30 มิถุนายน 2012 [อ้างถึง 27 ธันวาคม 2025];17(1):60-8. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ThDPHJo/article/view/178220
ประเภทบทความ
นิพนธ์ต้นฉบับ

เอกสารอ้างอิง

1. Seow WK. Biological mechanisms of early childhood caries. Community Dent Oral Epidemiol 1998; 26 supplement 1: 8-27.

2. Reisine S, Litt M. Social and psychological theories and their use for dental practice. Int Dent J. 1993; 3: 279-87.

3. กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย. รายงานผลการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 6 พ.ศ. 2549-2550. โรงพิมพ์สามเจริญพาณิชย์ (กรุงเทพ) จำกัด, 2551.

4. Ayhan H, Suskan E, Yildrim S. The effect of nursing or rampant caries on height, body weight and head circumference. J Clin Ped Dent 1996; 20: 209-12.

5. Casamassimo PS: Relationships between oral and systemic health. Pediatr Clin North Am 2000;47:1149-1157.

6. Chan SC, Tsai JS, King NM. Feeding and oral hygiene habits of preschool children in Hong Kong and their caregivers' dental knowledge and attitudes. Int J Paediatr Dent 2002; 12: 322-31.

7. Petersen PE. Oral health behavior of 6-yearold Danish children. Acta Odontol Scand 1992; 50: 57-64.

8. Gibson S, Williams S. Dental caries in preschool children: associations with social class, tooth-brushing habit and consumption of sugars and sugar-containing foods. Further analysis of data from the National Diet and Nutrition Survey of children aged 1.5-4.5 years. Caries Res 1999; 33: 101-13.

9. Chen MS. Children’s preventive dental behavior in relation to their mothers’ socioeconomic status, health beliefs and dental behaviors. ASDC J Dent Child 1986; 61: 105-9.

10. Silver DH. A comparison of 3-year-olds’ caries experience in 1973, 1981, and 1989, in a Hertfordshire town, related to family behavior and social class. Br Dent J 1992; 172: 191-7.

11. http://poverty.nesdb.go.th/poverty_new/doc/news/wannee_20071130114433.zip.

12. S. Thitasomakul, S. Piwat, A.Thearmontree, O. Chankanka1, W.Pithpornchaiyakul1, and S. Madyusoh. Risks for Early Childhood Caries Analyzed by Negative Binomial Models, J Dent Res 88(2):137-141, 2009.

13. Vachirarojpisan T, Shinada K, Kawaguchi Y, Laungwechakan P, Somkote T, Detsomboonrat P. Early childhood caries in children aged 6-19 months. Community Dent Oral Epidemiol 2004; 32: 1-10.

14. ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล, รพีพรรณ โชคสมบัติชัย. พฤติกรรมการเลี้ยงนมและของเหลวอื่นด้วยขวดนม และปัจจัยที่สัมพันธ์กับอัตราผุ ถอน อุด ในเด็กก่อนวัยเรียนกลุ่มหนึ่ง. ว ทันต 2541; 48:259-68.

15. ทินกร จงกิตตินฤกร. การปฏิบัติตนของแม่ในการดูแลฟันน้ำนมลูกวัย 9-18 เดือน. ว ทันต 2538;45: 253-9.

16. Streckson-Blicks C., Holm AK. Between-meal eating, tooth-brushing frequency and dental caries in 4-year-old children in the north of Sweden. Int J Pediatric Dent. 1995.Jun; 5(2):k67-72.

17. Tsubouchi J, Tsubouchi M, Maynard RJ, Domoto PK., Weinstein P. A study of dental caries and risk factors among Native American infants. ASDC J Dent Child.1995.Jul-Aug; 62(4):283-7.

18. Douglass JM., Tinanoff N., Tang JM., Altman DS. Dental caries patterns and oral health behavior in Arizona infants and toddler. Community Dent Oral Epidermol.2001.Feb; 29:14-22.

19. Harris R., Nicoll AD., Adair PM., Pine CM. Risk factor for dental caries in young children: a systematic review of the literature. Community Health Dent 2004 Mar; 21(Suppl):71-85.

20. สุณี วงศ์คงคาเทพ. ความสัมพันธ์ของการทำความสะอาดช่องปากกับการเกิดฟันผุของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี. วารสารส่งเสริมสุขภาพและอนามัยส่งแวดล้อม 2551; 31 (2):34-47.

21. จันทนา อึ้งชูศักดิ์, สุภาวดี พรหมมา, สุรางค์ เชษฐพฤนท์, สุพรรณี สุคันวรานิล และ วิไลลักษณ์ บังเกิดสิงห์. พฤติกรรมการแปรงฟันและการเข้าถึงบริการทันตสุขภาพตามชุดสิทธิประโยชน์ของเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 6-36 เดือน. ว.ทันต.สธ. 2552;14(1):59

22. สมนึก ชาญด้วยกิจ สุณี วงค์คงคาเทพ ขนิษฐ์ รัตนรังสิมา อังศณา ฤทธิ์อยู่.อิทธิพลของพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กไทยอายุ 6 -30 เดือนต่อการเกิดโรคฟันผุ. ว. ทันต 2547: 2: 123-136.

23. บุบผา ไตรโรจน์ จันทนา อึ้งชูศักดิ์ วิไลลักษณ์ บังเกิดสิงห์ และสุรางค์ เชษฐพฤนท์. การศึกษาสถานการณ์การบริโภคนมของเด็กวัยก่อนเรียนในศูนย์เด็กเล็ก พ.ศ. 2546. ว.ทันต.สธ 2546; 8(1-2): 31-37

24. อุไรพร จิตต์แจ้ง ประไพศรี ศิริจักรวาล กิตติ สรณเจริญพงศ์ ปิยะดา ประเสริฐสม และผุสดี จันทร์บาง. รายงานการวิจัยเรื่องการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคขนมและอาหารว่างของเด็ก 3-15 ปี พ.ศ.2547. (เอกสารโรเนียว)