ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางจิตลักษณะและสถานการณ์ในครอบครัวที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมารดาในการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากบุตรก่อนวัยเรียน Interaction between psychological characteristics and family situations on child-oral hygienic behavior of mothers of preschool children
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางจิตลักษณะและปัจจัยทางด้านสถานการณ์ในครอบครัวที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมารดาในการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากบุตรก่อนวัยเรียน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยความสัมพันธ์เปรียบเทียบ (Correlational-Comparative study) และยึดรูปแบบปฏิสัมพันธ์นิยมเป็นหลัก กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยมารดาที่มีบุตรอายุ 5 ปี จำนวน 843 คน โดยให้กลุ่มตัวอย่างตอบตอบแบบสอบถามและได้รับการตรวจสุขภาพของบุตร จำนวน 843 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลมีหลายประเภท คือ สถิติค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสามทาง สองทางและทางเดียว การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้น โดยวิเคราะห์ทั้งในกลุ่มรวมและกลุ่มย่อยที่แบ่งตามลักษณะชีวสังคม และภูมิหลังของมารดา ผลการวิจัยที่สำคัญ 2 ประการ คือ หนึ่ง พบว่า มารดาที่มีบุตรฟันเสียมาก ได้แก่ มารดาที่มีลักษณะดังนี้ 1.1) กลุ่มรวมที่มีระดับเศรษฐกิจต่ำ และไม่ทำงาน 1.2) มารดาที่มีพฤติกรรมการดูแล รักษาความสะอาดช่องปากบุตรน้อย สอง รูปแบบ K-A-P ทางสาธารณสุขยังมีข้อจำกัดและไม่เพียงพอควร มีการพัฒนาลักษณะทางจิตใจของมารดาด้านความเชื่ออำนาจภายในตนในการเลี้ยงบุตรให้มีสุขภาพดีโดยรวมสำหรับการวิจัยต่อไปควรทำการวิจัยเชิงทดลองประเมินผลการพัฒนาต้นแบบพัฒนาจิตและพฤติกรรม การดูแลสุขภาพบุตร โดยเฉพาะในมารดากลุ่มเสี่ยง 2 ประเภท คือ มารดาฐานะต่ำและไม่ทำงานและมารดาการศึกษาต่ำ
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. Bhanthumnavin D. Theory of moral behavior : Research and individual development : Advanced textbook in psychology and behavioral science. 2nd edition. National Institute of Development Administration. Bangkok, Thailand. 1995.
3. Bhanthumnavin D. A new psychological theory for the behavioral development of Thai youth. In the proceeding of 6th Asian Workshop on Child and Adolescent Development (pp. 430-432). Behavioral Science Research Institute,Srinakharinwirot University,Bangkok, Thailand. 1990.
4. Bhanthumnavin D. Theory of morality for Thai people : Research and applications. Special Monograph for the 33rd anniversary of Behavioral Science Research Institute. Srinakharinwirot University. Bangkok, Thailand. 1988.
5. Bhanthumnavin D. Review of studies on favorable psychological traits in Thai youth and adults. Thai Journal of Educational Research. 1980 ; 10(2), 29-47.
6. Dental Health Division, Department of Health. The Report of The Sixth National Oral Health Survey. 1st edition, Bangkok, Thailand. 2008.
7. Lill-Kari Wendt., Anna-Lena Hallonsten., Goran Koch and Dowen Birkhed. Oral hygiene in relation to caries development and immigrant status in infants and toddlers. Scandinavian Journal of Dental Research. 1994 ; 102, 269-273.
8. Paunio P., Rautava P., Sillanpaa M. and Kaleva O. Dental health habits of 3 year-old Finnish children, 1993 ; volume 21, issue 1: 4-7.
9. Petersen P.E. Sociobehavioural risk factors the in dental caries: international perspectives. Community Dentistry and Oral Epidemiology. 2005; 33 : 274-279.
10. Persson L.A., Holm A.K., Arvidsso S. & Samuelson G. Infant feeding and dental caries - a longitudinal of Swedish children. Swedish Dental Journal. 1985; 9, 201-206.
11. Pine C.M., Adair P.M., Petersen P.E., Douglass Ch., Burnside G., Nicoll A. et al. Developing explanatory models of health inequalities in childhood dental caries. Community Dental Health. 2004 ; 21: 86-95.
12. Schroder U. & Granath L. Dietary habits caries in 3-year-old children, Community Dentistry and Oral Epidemiology. 1983; 11, 308-311.
