อุบัติการณ์และการคัดกรองมะเร็งช่องปากระยะแรกของประชาชนจังหวัดกระบี่ ปี 2553
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งในช่องปากของประชาชนจังหวัดกระบี่ และประเมินปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งในช่องปาก วัสดุอุปกรณ์และวิธีการเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยมีการเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - เดือนกันยายน 2553 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 371 คน ประกอบด้วย ประชาชนอายุมากกว่า 18 ปี ที่มารับบริการทันตกรรมในคลินิกทันตกรรม ของโรงพยาบาลรัฐ จำนวน 8 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ โดยสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการตรวจสภาพเนื้อเยื่อในช่องปาก ตามแนวทางในคู่มือแนวทางการตรวจและจัดการมะเร็งช่องปาก สำหรับทันตบุคลากร และสัมภาษณ์ปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ โดยทันตแพทย์ที่ผ่านการอบรมการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากจากผู้เชี่ยวชาญ สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษา พบว่าอุบัติการณ์ การเกิดมะเร็งช่องปากของประชากรจังหวัดกระบี่ เท่ากับ 0.47 ต่อแสนประชากร เพศชายและหญิง มีอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งในช่องปาก เท่ากับ 0.47 ต่อแสนประชากร เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่ม 60 ปีขึ้นไป มีอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งช่องปาก เท่ากับ 5.54 ต่อแสนประชากร ทั้งนี้ จากการคัดกรองมะเร็ง ช่องปาก พบการเกิดรอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง ร้อยละ 23.08 และเป็นมะเร็งช่องปาก ร้อยละ 15.38 โดยเป็นมะเร็งช่องปากชนิด Squamous cell carcinoma ดังนั้นจึงควรดำเนินการคัดกรองมะเร็งช่องปากในกลุ่ม อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ที่มีประวัติด้านการสูบบุหรี่ และ/หรือดื่มแอลกอฮอล์ และเคี้ยวหมาก เพื่อลดอัตราตายจากมะเร็งช่องปากในอนาคต
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. ภัทรวินท์ อัตะสาระ และคณะ. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, Cancer register 2007 : หน้า 3-8
3. T Nagao et al Oral cancer screening as integral part of general health screening in Tokoname City, Japan. J Med Screen 2007 ;7 : 203 - 208.
4. Omar Kujan et al Evaluation of Screening Strategies for Improving Oral Cancer Mortality : A Cochrane Systematic Review. Journal of Dental Education. 2005 ; 69(2): 255 – 265.
5. กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือแนวทางการตรวจและจัดการมะเร็งช่องปากสำหรับทันตบุคลากร ; โรงพิมพ์ นโม พริ้นแอนด์พับลิชซิ่ง 2550. .
6. Gustavo D. Cruz et al Oral cancer knowledge ,risk factors and characteristics of subjects in a large oral cancer screening program. JADA2002 ; 133 : 136
7. Brad W.Neville ,Terry A. Day. Oral Cancer and Precancerous Lesions. CA Cancer Journal Clinical. 2002 ; 52 : 195-215สำนักงานกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2550.
8. กนกพร พะลัง 2552. www.gotoknow.org/blog/km-dental-nonta/256182
9. K. A. A. S. Warnakulasuriya, A. N. I. Ekanayake, S. Sivayoham, J. Stjernsward, J. J. Pindborg, L. H. Sobin, and K. S. G. P. Perera . Utilization of primary health care workers for early detection of oral cancer and precancer cases in Sri Lanka. Bull World Health Organ. 1984 ; 62(2): 243-250.
10. B.Mathew, R. Sankaranarayanan, KB. Sunilkumar, B Kuruvila, P Pisani and M Krishnan Nar. Reproducibility and validity of oral visual inspection by trained health worker in detection of oral precancer and cancer. British Journal of Cancer. 1997 ; 76(3): 390- 394
11. D.R Moles, M.C Downer and P.M. Speight. Mata – Analysis of Measures of Performance Reported in Oral Cancer and Precancer Screening Studies. British Dental Journal. 2002 ; 192(6): 340-344
12. PM. Speight et al. The cost effectiveness of screening for oral cancer in primary care. Health Technology Assessment 2006. Executive Summary ; 10 (14)
13. K. A. A. S. Warnakulasuriya et al An alarming lack of public awareness towards oral cancer. British Dental Journal 1999 ; 187 (6) :319 – 322anunsunannslauwun avønns