การพัฒนานโยบายโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม ลูกอม ขนมกรุบกรอบ
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนานโยบายโรงเรียนปลอดน้ําอัดลม ลูกอม ขนมกรุบกรอบ อย่างมีส่วนร่วม ในโรงเรียนประถมศึกษาจังหวัดแพร่ 28 โรงเรียน วิธีการศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิง ปริมาณควบคู่กับการวิจัยเชิงคุณภาพไปพร้อมกัน กลุ่มตัวอย่างอายุ 3-5 ปี, 6-8 ปี, 9-12 ปี จํานวน 600 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานในการนําเสนอปัญหาแก่โรงเรียน และการสัมภาษณ์เจาะลึก/สนทนากลุ่ม เกี่ยวกับความ คิดเห็น วิธีคิด และระบบคุณค่าของบุคคลและองค์กร เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสุขภาพจากทีมแกนนํา ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนานโยบายโรงเรียนปลอดน้ําอัดลม ลูกอม ขนมกรุบกรอบ ในโรงเรียนประถมศึกษา ได้อาศัยเครือข่ายพันธมิตรที่เกี่ยวข้องเป็นทีมแกนนํา ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่ สาธารณสุข ในการขับเคลื่อนนโยบายระดับโรงเรียน โดยมีการพัฒนาศักยภาพทีมแกนนําในการทํางานแบบมี ส่วนร่วม การสนับสนุนและการสร้างกระแสจากระดับจังหวัด ผลลัพธ์การดําเนินงานในปีแรกสามารถผลักดัน นโยบายสําเร็จ 9 โรงเรียน ปีที่สอง ประสบผลสําเร็จ 12 โรงเรียน ปีที่ 3 ประสบผลสําเร็จทั้ง 28 โรงเรียน ปัจจัยนําไปสู่ความสําเร็จที่สําคัญ คือ 1) ข้อมูลพื้นฐานที่ชี้ให้เห็นปัญหาและสาเหตุที่ชัดเจน 2) ทีมแกนนํา ในการขับเคลื่อนนโยบายระดับโรงเรียนที่มีศักยภาพในกระบวนการทํางานแบบมีส่วนร่วม 3) การสนับสนุนและ ติดตามประเมินผลแบบเสริมพลังจากทางสาธารณสุข 4) การขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การจัดกระบวนการเรียนการสอนเสริมการเรียนรู้ เรื่องโทษของขนมที่เป็นอันตรายต่อทันตสุขภาพ อาหาร/ขนมทางเลือก การจัดการสิ่งแวดล้อม เรื่องสหกรณ์/ร้านค้าขายขนมหรืออาหารที่มีประโยชน์ สร้าง การมีส่วนร่วมจากครอบครัวและชุมชน จะช่วยให้นโยบายต่อเนื่อง ยั่งยืน
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. จันทนา อึ้งชูศักดิ์, Fact Sheet ว่าด้วยเรื่อง “น้ําอัดลม” เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน : เอกสารโรเนียว, มิถุนายน 2549
3. กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการเฝ้าระวังทันตสุขภาพ ในเด็กวัยประถมศึกษา พิมพ์ครั้งที่ 1, โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2529
4. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุขภาพช่องปากที่สอดคล้อง กับฝังมโนทัศน์และสาระการเรียนรู้กลาง พิมพ์ ครั้งที่ 1, โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.), 2547
5. สุขจิตตรา วนาภิรักษ์, การประเมินผลการดําเนินงานเฝ้าระวังทันตสุขภาพในโรงเรียน ประถมศึกษาจังหวัดแพร่, ว.ทันต.สธ. ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-2 มกราคม-ธันวาคม 2543, 7-19
6. K. Korwanich, A Sheiham, W. Srisuphan, and P. Srisilapanun. Effects of healthy Eating Policy on Preschool Children's Snack Consumption. 30 June 2006, Brisbane Convention & Exhibition Centre Exhibit Hall 1
7. Roberson, A. & Minkler, M. (1994) New Health Promotion Movement: A critical Examination. Health Educ Quar, 21 (3), 295 – 312
8. เนาวรัตน์ พลายน้อย, ธีรเดช ฉายอรุณ. การพัฒนาการเรียนรู้ โดยผ่านกระบวนการ ประเมินผลแบบเสริมพลัง พิมพ์ครั้งที่ 2 บริษัท พี.เอ.ลีฟวิ่ง จํากัด กรุงเทพฯ 2550 : หน้า 13-15
9. P.F.So*, M.Ed. CUHK, M.Sc. City U (2004) The Whole School Approach to health Education in Tin Shui Wai Methodist Primary School, Hong Kong JPCHP. 2004; 1 (1) : 34 - 39
10.กระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544
11.สันติ จิตระจินดา, สถาบันศิลปวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา (มายา), ปณิธานสังคมพอเพียง: คู่มือสอนสนุกปลุกความคิด เชื่อมชีวิตกับการเรียนรู้ กรุงเทพ. 2550 : หน้า 4 - 5, 31 - 39
12. WHO Regional Office for the Western Pacific. Development of health-promoting schools - A framework for action. WHO/ WPRO, 1996 (Health - Promoting Schools Series 5 Regional Guidelines)
13.กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย, ข้อเสนอเชิงนโยบายและกลยุทธ์การส่งเสริมสุขภาพ ช่องปากของประชาชนไทยกลุ่มอายุต่างๆ ใน ทศวรรษหน้า: บริษัทสามเจริญพาณิชย์ (กรุงเทพ) จํากัด, สิงหาคม 2549 : หน้า 1 - 26
14.พัชรินทร์ เล็กสวัสดิ์ และคณะ. แนวทางการวิเคราะห์ เสนอปัญหา ร่วมวางแผน ประเมินผล ทันตสุขภาพกับชุมชน พิมพ์ครั้งที่ 2, โรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรม ราชูปถัมภ์ กรุงเทพ, 2550 : หน้า 15 – 32.