การยีดติดแน่นของสารเคลือบหลุมร่องฟันในฟันกรามแท้ซี่ที่ 1 ในระยะเวลา 2 ปี โดยเจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขภายใต้โครงการยิ้มสดใส เด็กไทยฟันดี (พ.ศ.2548-2550) จ.สุโขทัย
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการคงอยู่ของสารเคลือบหลุมร่องฟันในเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้ให้บริการโดยเจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขในระดับสถานีอนามัยภายใต้โครงการ ยิ้มสดใส เด็กไทยฟันดีและ เปรียบเทียบการเกิดโรคฟันผุในฟันที่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟัน กับฟันที่ไม่ได้รับการเคลือบหลุมและ ร่องฟัน เด็กประถมศึกษาจํานวน 1,323 คนที่ได้รับบริการเคลือบหลุมและร่องฟันในพ.ศ. 2548 โดยเจ้าพนักงาน ทันตสาธารณสุขจํานวน 17 คน 9 อําเภอได้ถูกทําการตรวจซ้ําภายหลังการเคลือบหลุมและร่องฟันไปแล้วเป็นเวลา 2 ปี ทําการประเมินการติดแน่นของสารเคลือบหลุมร่องฟันและอัตราการเกิดโรคฟันผุในฟันกลุ่มที่ได้รับการ เคลือบหลุมและร่องฟัน ผลการศึกษา พบว่า จํานวนฟันที่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟันทั้งสิ้น 2,193 ซี การครอบคลุมการเคลือบหลุมและร่องฟันร้อยละ 65.4 เฉลี่ย 2.53 ซี่/คน พบการติดแน่นทั้งหมดร้อยละ 36.02 หลุดบางส่วนร้อยละ 15 และหลุดทั้งหมดร้อยละ 48.97 การเกิดฟันผุในฟันกรามแท้ชี้ที่ 1 พบสูงสุดในฟันกลุ่ม ที่วัสดุหลุดออกทั้งหมด ร้อยละ 23.46 เมื่อเปรียบเทียบอัตราการผุของฟันที่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟัน (14.54) น้อยกว่าในกลุ่มฟันที่ไม่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟัน (19.15) อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ p< 0.05 พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างปริมาณการเคลือบหลุมและร่องฟันของเจ้าพนักงานทันตสาธารณสุขกับการ เกิดโรคฟันผุภายหลังการเคลือบหลุมและร่องฟันเป็นเวลา 2 ปี (p<0.01) การศึกษาครั้งนี้พบว่าการเคลือบ หลุมและร่องฟันในโครงการส่งเสริมทันตสุขภาพในโรงเรียนสามารถควบคุมและป้องกันโรคฟันผุในฟันกรามแท้ ซีที่ 1 อย่างมีประสิทธิภาพ
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. รายงานการสํารวจสภาวะสุขภาพช่องปากของประชาชนไทย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2550. WWW. dental .anamai.go.th/ dent/
3. กองทันตสารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, รายงานผลการสํารวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2543-44
4. King N.M., Shaw L., Murray J.J. Caries susceptibility of permanent first and second molars in children age 5-15 years. Community Dent. Oral Epidemiol. 1980;8:151-8.
5. Bohannan H.M., Disney J.A., Grave R.C., Bader J.D., Klien S.P., Bell T.M. Indications for Sealant use in a community-based prevenyive dentistry program. J.Dent. Educ. 1984; 48(Soppl) : 45-55
6. Ripa L.W., Leske G.S., Varma A.Q. Longitudinal study of the caries susceptibility of occlusal and proximal surfaces of first permanent molars. J. Public Health Dent. 1988; 48:8-13
7. Ripa L.W. has the decline on caries experience reduced the need for fissure sealants in the UK? : A review. J. Paedistr. Dent. 1990; 79-84.
8. Mertz-Fairhurst E.J., Schuster G.S., Fairhurst C.W. Arresting caries by sealents: Results of a clinical study. J.Am. Dent. Assoc. 1986; 112:194-7.
9. Mejare I., Lingstrom P., Petersson LG., Holm AK., Twetman S., Kallestal C., Nordenram G., Lagerlof F., Soder B., Norlund A., Axelsson S., Dahlgren H. Caries-preventive effect of fissure sealants : a systematic review. Acta Odentol Scand. 2003 Dec; 51(6): 321-30.
10. Motsei SM., Kroon J., Holtshousen WS. Evaluation of atraumatic restorative treatment restorations and sealants under field conditions. SADJ. 2001. Jul; 56(7): 309-15.
11.สุกัญญา เธียรวิวัฒน์, ระวีวรรณ ปัญญางาม โอบเอื้อ เจริญทรัพย์ ในความยึดแน่นละ ประสิทธิผลของการนําสารซีแลนด์มาใช้ ในงานทันคกรรมชุมชน. ว. ทันต ปีที่ 36 ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2529.
12.ศรัณยา ตันเจริญ, พรสินี ชัยชโลทรกุล, บานเย็น ศิริสกุลเวโรจน์, รสสุคนธ์ ลีวานนท์, Larson MJ. การศึกษาการติดอยู่ของสารเคลือบ หลุมร่องฟัน ซึ่งได้รับบริการโดยทันตาภิบาล ในหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่ในระยะเวลา 2-3 ปี ว. ทันต. ปีที่ 51 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2544
13. Ripa L.W. Sealants revised : An update of effectiveness of pit and fissure sealants. Caries Res. 1993; 27 (Suppl.1) : 77-82.
14. Hovuo-Saloranta A, Hiiri A, Nordblad A, Worthing H, M_kel_ M. Pit and fissure sealants for preventing dental decay in the permanent teeth of children and adolescents. Cochrane Database of Systematic reviews 2004, Issue 3 Art. No.: CD001830. DOI : 10.1002/14651858. CD001830.pub2.
15. Simonsen RJ. Pit and fissure sealant : review of the literature. Pediatr Dent. 2002
