ประสิทธิผลของโครงการเคลือบหลุมและร่องฟันในเด็กนักเรียนประถมศึกษา จังหวัดกำแพงเพชร
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตราการเกิดโรคฟันผุ และค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด ของ กลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟันกับกลุ่มนักเรียนประถมศึกษาที่ไม่ได้รับการเคลือบหลุม และร่องฟัน เมื่อระยะเวลาผ่านไป 20 เดือน ศึกษาในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีฟันถาวรดีและมีฟันถาวร #ที่หนึ่งขึ้นครบ 4 ซี่ จํานวน 600 คน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม จํานวนเท่าๆ กัน ได้แก่ เด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ได้รับ การเคลือบหลุมและร่องฟัน กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟัน หลังจากนั้น 20 เดือน จึงตรวจสภาวะฟันผุ ถอน อุด และการคงอยู่ของวัสดุเคลือบหลุมร่องฟัน ส่วนนักเรียนในโรงเรียนที่ไม่ได้รับเคลือบ หลุมและร่องฟัน ตรวจสภาวะฟันผุ ถอน อุด อย่างเดียว การวิเคราะห์ผลใช้สถิติที่เทส (t-test) และไคสแควร์ (ChiSquare) ผลการศึกษาพบว่าอัตราเกิดโรคฟันผุของกลุ่มที่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟันคือ ร้อยละ 29.67 และ กลุ่มไม่ได้รับการเคลือบหลุมร่องฟัน คือ ร้อยละ 37.33 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (P<0.05) สําหรับค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟันคือ 0.50 +0.89 ส่วนนักเรียนที่ไม่ได้รับการเคลือบหลุมและร่องฟันคือ 0.73 +1.17 เมื่อเปรียบเทียบทางสถิติ พบว่าแตกต่าง อย่างมีนัยสําคัญ ดังนั้นสรุปได้ว่าโครงการเคลือบหลุมและร่องฟันมีประสิทธิผลในการลดอัตราการเกิดโรคฟันผุ และจํานวนฟันผุในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ผลจากการศึกษาสามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนโครงการ เคลือบหลุมและร่องฟันอื่นๆ เพื่อให้มีประสิทธิผลและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
(2) กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, สารเคลือบหลุมร่องฟันในงานทันตกรรม พ.ศ. 2536
(3) คมสรรพ์ บุณยสิงห์, จันทนา อึ้งชูศักดิ์, การกระจายของโรคฟันผุในฟันถาวรของเด็กไทยวัยเรียน. วารสารทันต มหิดล 2537; 14:47
(4) Brown LJ, Selwitz RH. The impact of recent changes in the epidemiology of dental caries on guidelines for the use of dental sealants. J Public Health Dent. 1995; 55: 274-291
(5) Hicks MJ. The acid-etch technique in caries prevention: pit and fissure sealants and preventive resin restorations in: Pinkham JR, editor. Pediatric dentistry: Infancy through adolescence. 3rd ed. Philadelphia: WB Saunders, 1999, p 481-521
(6) Mertz-Fairhurst EJ. Current status of sealant retention and caries prevention. J Dent Educ. 1984; 48:18-26
(7) Tinanoff N. Dental caries: etiology, pathogenesis, clinical manifestations, and management. In: Wei SHY, editor. Pediatric dentistry: Total patient care. Philadelphia: Lea & Febiger; 1998: 9-22
(8) Ripa LW. Sealants revisted : an update of the effectiveness of pit-and-fissure sealants. Caries Res. 1993; 27:77-82
(9) Simonsen R. Retention and effectiveness of a single application of white sealants after 10 years. J am Dent Assoc. 1987; 115:31-36
(10) Heller K, Reed SG, Bruner FW, Eklund SA, Burt BA, Longitudinal evaluation of sealing molars with and without incipient dental caries in public health program. J. Public Health Dent 1995; 55:148-153
(11) Bravo M, Montero J, Bravo JJ, Baca P, Llodra JC. Sealant and fluoride vanish in caries: a randomized trial. J Dent Res. 2005; 84(12):1138-1143.
(12) บานเย็น ศิริกุลเวโรจน์: รายงานการวิจัยเรื่องการยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟันที่ให้บริการ ในหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่และผลต่อการลด อัตราการเกิดโรคฟันผุ, สํานักงานสาธารณสุข จังหวัดสงขลา, 2542
(13) สุรพล ตั้งสกุล, สมสมัย อินอ่อน, วีระบูรณ์ ไชยพันธ์: รายงานการวิจัยเรื่องเทคนิคที่ เหมาะสมการทําเคลือบหลุมร่องฟันในหน่วย ทันตกรรมเคลื่อนที่ในโรงเรียน,โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี, 2541
(14) จีรศักดิ์ ทิพย์สุนทรชัย, การเปรียบเทียบอัตราการคงอยู่และผลของการป้องกันฟันผุของวัสดุ เคลือบหลุมร่องฟัน ชนิดกลาสไอโอโนเมอร์ และชนิดเรซิน ในหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่จังหวัดบุรีรัมย์, วทันตสาธารณสุข กรมอนามัย 2546; 1-2, 62-75
(15) McCure RJ, Bojanini J, Abodeely RA. Effectiveness of a pit and fissure sealant in the prevention of carries: Three years clinical result. J Dent Assoc. 1979 Oct; 99 (4): 619-623
(16) อัมพร เดชพิทักษ์, พรรณวดี พันธัย, การยึดติดของสารเคลือบหลุมร่องฟันในช่วงระยะเวลา 24 เดือน. ชม ทันตสาร, 2543; 21 (2): 69-79