การศึกษาการเกิดโรคฟันผุและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก 3-12 ปี
Main Article Content
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือ การศึกษาชุมชนในบริบทเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การใช้บริการสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก การใช้บริการทันตกรรม และการเกิดโรคฟันผุ ในเขตอําเภอเมือง เดชอุดม และสําโรง จังหวัดอุบลราชธานี ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ตามแบบสอบถามทั้งเชิงคุณภาพ ในกลุ่มผู้นําชุมชน และแบบสอบถามเชิงปริมาณ และการตรวจฟันในกลุ่มผู้ปกครอง และเด็กอายุ 3-5, 6-8 และ 9-12 ปี ซึ่งเป็น ลูกคนสุดท้องของแต่ละครัวเรือน คัดเลือกโดยใช้วิธี Multistage random sampling รวม 696 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ฐานะทางเศรษฐกิจพอกินพอใช้และยากจน เด็กเริ่มต้นเข้าที่ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในตําบลและได้ให้เรียนในภาคบังคับในโรงเรียนใกล้บ้าน ร้านค้า แหล่งจําหน่ายอาหารในชุมชน มีจํานวนมากขึ้น อีกทั้งมีรถเร่ และตลาดนัดทําให้ประชาชนมีการจับจ่ายได้ สะดวกยิ่งขึ้น การได้รับข่าวสารทางด้านสุขภาพทุกพื้นที่ยังคงได้รับจากหอกระจายข่าว และจากการทํางานของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ประชาชนยังคงมีความเชื่อและดูแลสุขภาพที่ ใช้สมุนไพรในการดูแลรักษาตนเองและครอบครัว แต่ส่วนใหญ่เมื่อเจ็บป่วยจะไปรักษาที่สถานีอนามัยในเขต หมู่บ้านตนเอง หากเป็นมากขึ้นจะไปโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรคในช่องปาก หากเจ็บป่วยก็จะพาไปหาหมอฟันที่ โรงพยาบาล เด็กส่วนใหญ่ยังอยู่ในการเลี้ยงดูของผู้เป็นพ่อ/แม่ (ร้อยละ71.2,76.5และ78.3ตามลําดับ) เด็กทุกกลุ่ม อายุมีพฤติกรรมการดูแลการทําความสะอาดช่องปากเด็กด้วยวิธีการแปรงฟัน มีเพียงร้อยละ 1.7 ในกลุ่มอายุ 3 - 5 ปี เท่านั้นที่ไม่แปรงฟัน และส่วนใหญ่แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง (ร้อยละ 48.3 45.7 และ 65.9 ตามลําดับ) โดย ในทุกกลุ่มอายุมีพฤติกรรมการแปรงฟันตอนเช้ามากกว่าแปรงฟันก่อนเข้านอน ผู้ดูแลหลักของเด็กกลุ่ม 3-5 ปี ส่วนใหญ่จะตรวจดูช่องปากเด็กเป็นประจํา (ร้อยละ 44.1) ในกลุ่ม 6-8 ปี และ 9-12 ปี จะตรวจดูบ้าง นาน ๆ ที่ (ร้อยละ 44.0 และ 49.6 ตามลําดับ) ข้อมูลการไปรับบริการทันตกรรม เมื่อเด็กมีอาการปวดฟันจะถูกพาไป พบหมอ การให้กินยาแก้ปวดเอง และการเอายาอุดในรูฟัน ส่วนใหญ่เด็กที่ไปรับบริการทันตกรรมจะได้รับบริการ ถอนฟัน ตรวจฟัน และอุดฟัน การเป็นโรคฟันผุในฟันน้ํานม กลุ่ม 3- 5 ปี และ 6-8 ปี พบว่ามีฟันผุมากถึง ร้อยละ 77.9 และ90.2 ตามลําดับ มีค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด 5.85 และ7.54 ซี่ต่อคน โรคฟันผุในฟันแท้กลุ่ม 68 ปี และ9-12 ปี พบผู้เป็นโรคฟันผุร้อยละ 22.5 และ70.8 ตามลําดับ และมีค่าเฉลี่ยฟันผุ ถอน อุด เท่ากับ 0.43 และ 2.60 ต่อคน ตามลําดับ ซึ่งยังคงเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ทําให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเพิ่มขึ้น จึงควรมีการพัฒนาระบบการดูแลและ ให้ความรู้ในกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
Downloads
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2.กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2545) สุขภาพช่องปากเด็กปฐมวัย.กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.
3.กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย. (2547). เอกสารประกอบการประชุมเรื่อง องค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านทันตกรรมป้องกัน.กรุงเทพมหานคร:
4.ปิยะดา ประเสริฐสม. (2545). สถานการณ์โรคฟันผุในเด็กปฐมวัยกับการบริโภคน้ําตาล.วิทยาสารทันตสาธารณสุข กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 1
5.เพชรา สิทธิพจน์. (2539). ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโรคฟันผุกับพฤติกรรมการดูแลทางทันตสุขภาพในเด็กนักเรียนประถมศึกษาอําเภอเมืองเชียงใหม่ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข.
6.วรางคณา อินทโลหิต และคณะ (2545).การศึกษาพฤติกรรมการเลี้ยงดูของผู้ปกครองต่อสภาวะสุขภาพช่องปากเด็กวัยก่อนเรียน.วิทยาสารทันตสาธารณสุข, กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 1
7.สุดใจ แจ่มเจือ และคณะ (2545). พฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียนของผู้ปกครองที่มารับบริการทันตกรรมในโรงพยาบาลด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา วิทยาสารทันตสาธารณสุข.กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ปีที่ 7 ฉบับที่ 2
8.หฤทัย สุขเจริญโกศล และคณะ (2546). ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยระดับปัจเจกของผู้ปกครอง ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็ก 0-5 ปี วิทยาสารทันตสาธารณสุข กองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ปีที่ 8 ฉบับที่1 -2.
9.อภิญญา ยุทธชาวิทย์. (2543).ทันตกรรมเด็กวิทยาลัยสาธารณสุขสิรินทร.ขอนแก่น:สถาบันพระบรมราชชนก สํานักงานปลัด กระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
10.Habbibian M.Roberts G.Lawson M.Stevenson R.Harris S.Dietary habits and dental health over the first 18 months of life.Community Dent Oral Epidemiol 2001;29:239-46.