ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านปากคลองบางกอกน้อยฝั่งเหนือ
Main Article Content
Abstract
บทคัดย่อ
ย่านปากคลองบางกอกน้อยฝั่งเหนือ (แขวงอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร) เป็นย่านเก่าแก่แห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร มีพัฒนาการยาวนานกว่า 200 ปี เท่าที่ผ่านมาการศึกษาย่านนี้ยังไม่ลุ่มลึกเท่าที่ควร เนื่องจากข้อมูลเอกสารมีไม่มากนัก ดังนั้น การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจะช่วยให้เกิดความเข้าใจในความเป็นมา ผู้คน และชุมชนของย่านนี้ได้ดีขึ้น
บทความนี้จึงมุ่งศึกษาพัฒนาการความเป็นมาของผู้คนชุมชนในย่านเก่าแห่งนี้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยการศึกษาข้อมูลจากเอกสาร แผนที่ ภาพถ่ายเก่าและใหม่ เน้นการลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วยการสำรวจ สังเกตการณ์ และสัมภาษณ์ผู้รู้มาประมวลวิเคราะห์ให้เกิดความเข้าใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นย่านนี้
จากการศึกษาพบว่า ย่านปากคลองบางกอกน้อยฝั่งเหนือเคยเป็นพื้นที่และชุมชนชาวสวนนับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 มีกลุ่มคนไทยและมุสลิมอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้และอยู่สืบต่อกันมาหลายชั่วคนจนทุกวันนี้ ถึงจะมีความต่างศาสนาแต่ทั้งคนไทยและมุสลิมย่านนี้อยู่กันอย่างเข้าใจ รักใคร่ และช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอดมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอันเกิดจากการพัฒนาเมืองหลัง พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา ชุมชนไทยและมุสลิมในย่านนี้ต่างพยายามปรับตัวและรักษาวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของตนไว้
ผลจากการศึกษาจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจผู้คนชุมชนย่านนี้ เกิดความภาคภูมิใจแก่คนในและคนนอก อันจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ เหมาะสม และยั่งยืนต่อไป
Abstract
The area around the mouth of northern Bangkok Noi Canal, Aroon Amarin Road, Bangkok Noi District, is one of the most ancient sites of Bangkok.
Documents, maps, old and new photographs are gathered. The study is conducted through field surveys, observations and interviews with local learned men. Then the information will be analysed to create the understanding of local history of the area.
The study reveals that the area around the mouth of northern Bangkok Noi Canal was once a plantation area in Ayutthaya era. After the fall of Ayutthaya in 2310 B.E. (1767 A.D.), Thais and Muslims evacuated into the area and settled down ever since. Despite their difference in religions, Thais and Muslims have always lived together peacefully with mutual help and understanding. Through occurrence of economic and social changes after the city development in 2510 B.E. (1967 A.D.), the Thai and Muslim communities in this area have always tried to adapt and sustain their culture and knowledge.
This study, hopefully, will result in a better understanding of the community, creating communal pride among insiders and outsiders alike. Eventually, this will lead to the forthcoming participation in creative conservation and sustainable development of the area.