ผลของโปรแกรมการสนทนาแบบสร้างแรงจูงใจต่อการลดค่าซีสโตลิคและน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

ผู้แต่ง

  • เทอดศักดิ์ เดชคง สำนักงานวิเทศสัมพันธ์ กรมสุขภาพจิต

คำสำคัญ:

การสนทนาสร้างแรงจูงใจ, ค่าซีสโตลิค, น้ำตาลในเลือด, เบาหวานชนิดที่ 2

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มใช้รูปแบบการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (Repeated Measure Design) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าซีสโตลิคและค่าน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 กลุ่มตัวอย่าง 79 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ คือโปรแกรมการสนทนาสร้างแรงจูงใจ แบบบันทึกการให้การปรึกษา เครื่องวัดความดันโลหิต แบบบันทึกระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องมือสำหรับเจาะเลือดวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ผลการศึกษา 1) เปรียบเทียบระหว่าง ก่อนและหลังจบโปรแกรมทันที ก่อนโปรแกรมและติดตาม 3 เดือน และ 6 เดือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่า    ซีสโตลิค < 140 มม.ปรอท คิดเป็นร้อยละ 87.3,  86.1 และ 86.1 ตามลำดับ และลดลงอย่างเปลี่ยนระดับ 65.8,  72.1  และ 83.5  ตามลำดับ ส่วนค่าน้ำตาลในเลือดลดลงร้อยละ 86.1,  92.4  และ 94.9  ตามลำดับ และลดลงอย่างเปลี่ยนระดับร้อยละ 65.8, 72.1 และ 83.5 ตามลำดับ2) เปรียบเทียบค่าซีสโตลิคและค่าน้ำตาลในเลือดระหว่างจบโปรแกรมทันทีและติดตาม 3 เดือนและ 6 เดือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าซีสโตลิคลดลงร้อยละ 41.8, 51.9 ตามลำดับและลดลงอย่างเปลี่ยนระดับร้อยละ 26.6 ค่าน้ำตาลในเลือดลดลงร้อยละ 59.5, 60.7 ตามลำดับ และลดลงอย่างเปลี่ยนระดับร้อยละ 36.7, 43.0 ตามลำดับ เปรียบเทียบผลช่วงติดตามผล 3 เดือนและ 6 เดือน ค่าซีสโตลิคลดลงร้อยละ 50.6 และค่าน้ำตาลในเลือดลดลงมีร้อยละ 45.6  3)เมื่อทดสอบเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ของระดับความดันโลหิตซีสโตลิค พบว่า ค่าเฉลี่ยในการวัดซ้ำระหว่างการทดลองทุกครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นระหว่างการทดลองครั้งที่ 3 หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นเดือนที่ 3 และเดือนที่ 6 ไม่แตกต่างกัน ค่าเฉลี่ยระดับ Fasting plasma glucose ในการวัดซ้ำระหว่างการทดลองทุกครั้งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ยกเว้นระหว่างการทดลองครั้งที่ 3 กับหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และหลังการทดลองเสร็จสิ้นทันทีกับหลังการทดลองเสร็จสิ้นเดือนที่ 3 และเดือนที่ 6 ไม่แตกต่างกัน ผลการศึกษานี้แสดงถึงประสิทธิภาพของโปรแกรมการสนทนาสร้างแรงจูงใจในการช่วยควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

เอกสารอ้างอิง

1. International Diabetes Federation. IDF clinical practice recommendations for managing type 2 diabetes in primary care. Brussels, Belgium: International Diabetes Federation, 2017.

2. สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานประจำปี 2560. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2561.

3. เทอดศักดิ์ เดชคง. เทคนิคการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ (Motivational Counseling). กรุงเทพฯ: หมอชาวบ้าน, 2555.

4. Miller WR, Rollnick S. Motivational interviewing: Helping people change. (3rd ed). New York: Guilford Press; 2013.

5. เทอดศักดิ์ เดชคง. เทคนิคการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ. เอกสารประกอบการอบรม: การอบรมหลักสูตรเทคนิคการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจรุ่นที่1-9; 2550-2559: โรงแรมอามารี แอร์พอร์ต กรุงเทพมหานคร.

6. DiClemente CC, Bellino LE, Neavins TM. Motivation for change and alcoholism treatment. [Internet]. Alcohol Res Hearth. 1999; 23(2): 86-92. [cited 2018 May 23]. Available from: https://pubs.niaaa.nih.gov/publications/arh23-2/086-92.pdf.

7. Vanbuskirk KA, Wetherell JL. Motivational interviewing with primary care populations: A systematic review and meta-analysis. J Behav Med 2014; 37(4): 768-80. DOI: 10.1007/s10865-013-9527-4.

8. Rubak S, Sandbaek A, Lauritzen T, Christensen B. Motivational interviewing; A systematic review and meta-analysis. Br J Gen Pract 2005; 55(513): 305–12.

9. Smith DE, Heckemeyer CM, Kratt PP, Mason DA. Motivational interviewing to improve adherence to a behavioral weight-control program for older obese women with NIDDM. A pilot study. Diabetes Care 1997; 20(1): 52-4.

10. Mirkarimi SK, Honarvar MR, Aryaie M, Davaji RBO, Kamran A. Effect of motivational interviewing on adherence to treatment in patients with hypertension. Quarterly of the Horizon of Medical Sciences. 2015; 21(3): 213-20. [cited 2018 May 23] Available from:https://www.researchgate.net/publication/296813101_Effect_of_Motivational_Interviewing_on_
Adherence_to_Treatment_in_Patients_with_Hypertension.

11. เสกสรรค์ จวงจันทร์, พนิดา สารกอง, สายชล นิลเนตร. การศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการสนทนาสร้างแรงจูงใจเพื่อสนับสนุน การควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้โรงพยาบาลโนนคูณ จังหวัดศรีสะเกษ. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 2562; 17 (2): 37-47.

12. Racic M, Katic B, Joksimovic BN, Joksimovic VR. Impact of motivational interviewing on treatment outcomes in patients with diabetes type 2: A randomized controlled trial. J Fam Med. 2015;2(1): 1020. [cited 2018 May 23] Available from: https://austinpublishinggroup.com/family-medicine/fulltext/jfm-v2-id1020.php.

13. Veliyathumalil JB. Effectiveness of motivational interviewing-based telephone follow-up in diabetes management. [Internet]. 2017 [cited 2018 May 23]. Available from: https://sigma.nursingrepository.org/bitstream/handle/10755/623556/Veliyathumalil_J_ DNP_Capstone.pdf?sequence=6&isAllowed=y.

14. Sjöling M, Lundberg K, Englund E, Westman A. Effectiveness of motivational interviewing and physical activity on prescription on leisure exercise time in subjects suffering from mild to moderate hypertension. BMC Res Notes. 2011;12(4):352. DOI: 10.1186/1756-0500-4-352. [cited 2018 May 23] Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21906404.

15. Brown SA, García AA, Brown A, Becke BJ, Conn VS, Ramírez G, et al. Biobehavioral determinants of glycemic control in type 2 diabetes: A systematic review and meta-analysis. Patient Educ Couns. 2016 ;99(10):1558-67. DOI: 10.1016/j.pec.2016.03.020. cited 2018 May 29] Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5028237/.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2020-10-01

รูปแบบการอ้างอิง

เดชคง เ. . (2020). ผลของโปรแกรมการสนทนาแบบสร้างแรงจูงใจต่อการลดค่าซีสโตลิคและน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 . วารสารวิชาการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, 26(3), 62–71. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ODPC9/article/view/246228

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ