การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามแนวทางสุขภาพดีวิถีใหม่โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และภาคีเครือข่ายในอำเภอสามร้อยยอดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
คำสำคัญ:
การดูแลสุขภาพ, ผู้สูงอายุ, วิถีปกติใหม่, การมีส่วนร่วม, ภาคีเครือข่ายบทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามแนวทางสุขภาพดีวิถีใหม่ 2) พัฒนารูปแบบและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามแนวทางสุขภาพดีวิถีใหม่โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่าย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้สูงอายุ จำนวน 60 คน และผู้ดูแล จำนวน 60 คน คัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย แบ่งเป็น 2 ฉบับ ได้แก่ รูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามแนวทางสุขภาพดีวิถีใหม่และแบบสอบถามพฤติกรรมการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ ความเที่ยงของแบบสอบถามรายด้านโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .812, .892, .887 และ .906 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า
1. ผู้สูงอายุและผู้ดูแลกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพหลังการใช้รูปแบบฯ สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2. ผู้สูงอายุและผู้ดูแลกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพหลังการใช้รูปแบบฯ สูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ดังนั้นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในชุมชนจึงควรพัฒนาศักยภาพทั้งผู้สูงอายุและผู้ดูแลควบคู่กับการเสริมพลังในการดูแลสุขภาพเพื่อให้เกิดการรับรู้ความสามารถตนเองและการปรับพฤติกรรม การมีส่วนร่วมดูแลสุขภาพทางบวกอย่างยั่งยืน
References
Bandura, A. (1997). Self-Efficacy: The Exercise of Control. New York: W.H. Freeman and Company.
Cohen & Uphoff. (1980). Effective Behavior in Organizations. New York : Richard D. Irwin Inc.
Department of older persons. (2022). Statistics of the older adult in Thailand 77 provinces.
Retrieved March 4, 2023 from http:// www.dop.go.th/th/know/side/1/1/1159 (in Thai).
Department of Disease Control. (2019). The report of the situation of NCD (DM HT and risk
factors in 2019). Retrieved March 4, 2023 from http://www.ddc.moph.go.th/uploads/publish/1035820201005073556.pdf.
Faul, F., Erdfelder, E., Buchner, A., & Lang, A. G. (2009). Statistical power analyses using G*Power 3.1: Tests for correlation and regression analyses. Behavior Research Methods, 41(4), 1149-1160.
Health Data Center, Ministry of Public Health .(2020). Report of Gender classified population
Yearly age group, Health District 5, Prachuap Khiri Khan Province, CUP, Sam Roi Yod Hospital, 2021. Retrieved October 11, 2022 from https://pkn.hdc.moph.go.th/hdc /reports/report.php?source=formated/pop_sex_age.php&cat_id=ac4eed1bddb23d6130746d62d2538fd0&id=710884bc8d16f755073cf194970b064a
LaFond, E., Weidman, K., & Lief, L. (2021). Care of the postcoronavirus disease 2019 patient.
Current opinion in pulmonary medicine, 27(3), 199–204. https://doi.org/10.1097/MCP.0000000000000767
Orem DE, Taylor SG., Renpenning KM. (2001). Nursing: concepts of practice. 6th ed. St. Louis: Mosby.
Phuchongchai, T., Khunkhavan, T., Sanloa, P., & Chaipugdee, D. (2020). Potential Development in Elderly Health Self-Care Naphai Sub-District, Mueng Chaiyaphum District, Chaiyaphum Province. Journal of Nursing and Health Care, 38(1), 167-176.
Sam Roi Yot Hospital. (2021). Statistics of patients infected covid 19 in 2021. Retrieved February 1, 2023 from http://183.88.219.85:7076/eoc
Sisaaad, B. (2013). Introduction to research (9th ed.). Bangkok : Suwiriyasan Publisher. (in Thai)
Suthamchai, B., Kespichayawattana, J., Kaeowichian, N. (2015). A Synthesis of Integrated Care
Service Model for Thai Elderly. Journal of Health Science, 24(10), 17-29. (in Thai)
Thaithae, S., Thanaboonpuang, P., Mahaprom, T. (2020). Factors affecting health care behaviors of the elderly among urban community in Bangkok. Royal Thai Navy Medical Journal, 48(2), 393-406. (in Thai).
Thavinpipatkul, C., Ratanaubol, A. & Charungkaittikul, S. (2019). A Transformative Learning Model to Enhance Integral Health of Sustainable-Practicing Organizations in Thailand. Journal of Education Studies, 47(1), 37-55.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2023 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความทีตีพิมพ์ในวารสารนี้ถือว่าเป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี และผลงานวิชาการหรือวิจัยของคณะผู้เขียน ไม่ใช่ความคิดเห็นของบรรณาธิการหรือผู้จัดทํา
