ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ

ผู้แต่ง

  • นภาพรรณ ธงสันเทียะ นักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • จิราภรณ์ เตชะอุดมเดช คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • ขนิษฐา รัตนกัลยา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คำสำคัญ:

โรคหลอดเลือดหัวใจ, การถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ, พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย, โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน

บทคัดย่อ

              การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ในรูปแบบการศึกษา 2 กลุ่ม วัดหลังการทดลอง คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 56 ราย ที่เข้ารับการรักษา ณ หอผู้ป่วยวิกฤตโรคหัวใจ 4C และหอผู้ป่วยเพชรรัตน์ 16B คณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2568 โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มควบคุมจำนวน 28 ราย ได้รับการดูแลตามปกติ และกลุ่มทดลองจำนวน 28 ราย ได้รับโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในด้านพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดย วาทินี สุขมาก และคณะ (2545) 2) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน พัฒนาตามแนวคิดทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา (Bandura, 1997) ร่วมกับการทบทวนวรรณกรรม 3) คู่มือเรื่องโรคและการปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพด้านการรับประทานอาหารและด้านการออกกำลังกายที่เหมาะสม 4) สื่อวิดิทัศน์เสนอตัวแบบสัญลักษณ์ เรื่อง พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เหมาะสม 5) สื่อวิดิทัศน์เสนอตัวแบบสัญลักษณ์ เรื่อง พฤติกรรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมของจิรพร แอชตัน (2551) 6) แบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหารเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด ฉบับแปลเป็นภาษาไทยโดยปชาณัฏฐ์ ตันติกุสุม (2553) ค่าความเชื่อมันของแบบสอบถาม 0.81 7) แบบสอบถามพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจของตาณิกา หลานวงค์ (2558) ค่าความเชื่อมันของแบบสอบถาม 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติพรรณนา สถิติทดสอบแมน–วิทนียูย์ และสถิติทดสอบทีอิสระ
              ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความเชื่อมั่นในตนเองมีคะแนนพฤติกรรมด้านการรับประทานอาหาร (M = 59.00) และการออกกำลังกาย (M = 43.50) สูงกว่ากลุ่มควบคุม (M = 37.00.xx; M = 21.00) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า โปรแกรมมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ และควรบูรณาการใช้โปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนร่วมกับคู่มือความรู้และการใช้ LINE Official Account เพื่อกระตุ้นและติดตามพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายในผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมถึงพิจารณาบรรจุในกระบวนการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังรักษา จัดอบรมบุคลากร และจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืน

เอกสารอ้างอิง

กมลชนก เจริญวงษา, วิราพรรณ วิโรจน์รัตน์ และ ดวงรัตน์ วัฒนกิจไกรเลิศ. (2565). ผลของโปรแกรมส่งเสริมความร่วมมือการรับประทานยาโดยใช้แอพพลิเคชั่นไลน์ในผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 49(2), 313-325.

กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2568). สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2566. https://bps.moph.go.th/new_bps/sites/default/files/2563_0.pdf

จิรพร แอชตัน, ทัศนา ชูวรรธนะปกรณ์ และ ศิริรัตน์ ปานอุทัย. (2551). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนและการสนับสนุนทางสังคมต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายในผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดหัวใจ. พยาบาลสาร, 35(3), 84-96.

จิราภรณ์ นาสูงชน. (2553). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยภายหลังขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวดโครงตาข่าย [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ณัฐกฤตา วงค์ตระกูล และ รัตนชฏาวรรณ อยู่นาค. (2560). พฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ไม่มีการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจหลังได้รับการถ่างขยายด้วยขดลวดค้ำยัน. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ, 11(3), 138-147.

ณรงค์กร ชัยวงศ์, สุภาภรณ์ ด้วงแพง และเขมารดี มาสิงบุญ. (2557). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน. วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ, 9(3), 112-119.

ดวงตา สุวรรณรัตน์. (2552). ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมกับกลุ่มประคับประคองต่อพฤติกรรมด้านโภชนาการของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ตาณิกา หลานวงค์. (2558). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้ความเจ็บป่วยที่เน้นการออกกำลังกายต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและความสามารถด้านร่างกายของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหลังได้รับการรักษาด้วยการถ่างขยายหลอดเลือดหัวใจ [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

ปชาณัฏฐ์ ตันติกุสุม และจันทร์เพ็ญ จันทร์เจริญ. (2565). ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมต่อการจัดการตนเองและพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, 18(4), 1–10.

ประวิชช์ ตันประเสริฐ. (2553). แนวทางการฟื้นฟูสภาพในผู้ป่วยโรคหัวใจ (Cardiac Rehabilitation Guideline). สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยใน พระบรมราชูปถัมภ์. thaiheart.org/images/column_1291454908/RehabGuideline.pdf

ผุสดี พุฒดี, ปชาณัฏฐ์ ตันติโกสุม และนรลักขณ์ เอื้อกิจ. (2560). ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อการมีกิจกรรมทางกายของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจภายหลังได้รับการสวนหัวใจขยายหลอดเลือด. วารสารเกื้อการุณย์, 24(1), 147-162.

ยุภาณี แต้มเรืองอิทธิ์, มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์, สุปรียา ตันสกุล, นิรัตน์ อิมามี และธรรมรัฐ ฉันทแดนสุวรรณ. (2560). โปรแกรมการรับรู้ความสามารถตนเองในการบริโภคอาหารของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจ ณ สถาบันโรคทรวงอก ประเทศไทย. วารสารกรมการแพทย์, 42(5), 53-61.

วาทินี สุขมาก, อัจฉรีย์ ศิริสุนธร และประภาภร มีนา. (2545). ความเที่ยงตรงของของแบบสอบถามการรับรู้ในความสามารถตนเอง. วารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย, 47(1), 31-36.

ศันสนีย์ ดำรงค์ศิลป์, พรรณวดี พุธวัฒนะ และกุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์. (2560). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยที่มีการตีบซ้ำหลังใส่ขดลวดค้ำยันหลอดเลือดหัวใจ. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(2), 220-227.

ศรพิศ พรมผิว, ชวนพิศ ทำนอง, สุพร วงค์ประทุม และไชยสิทธิ์ วงศ์วิภาพร. (2558). ผลของโปรแกรมการรับรู้ความสามารถตนเองต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารในผู้ป่วยกลุ่มอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจ. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 33(1), 23-33.

สุภาวรรณ ชินพันธุ์, ณัฐกฤตา ศิริโสภณ, สมบัติ อ่อนศิริ และเอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์. (2562). ปัจจัยที่มีความสัมพันกับการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ใส่ขดลวดค้ำยัน. วารสารพยาบาลทหารบก, 20(3), 218-226.

สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูประถัมภ์. (2565). แนวเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง พ.ศ.2564. http://www.thaiheart.org/images/introc_1646981507/Thai%20Chronic%20Coronary%20Syndromes%20Guidelines%202021.pdf

เอกพลพลเดช เดชแก้ว, นิภาวรรณ สามารถกิจ, และ เขมารดี มาสิงบุญ. (2564). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ความเครียดในการดำเนินชีวิตและการสนับสนุนทางสังคมกับพฤติกรรมสุขภาพในผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันภายหลังได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจ. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา, 29(2), 71-80.

Alizadeh, M., Feizollahzadeh, H., Abdollahzadeh, F., Hasankhani, H., Dadashzadeh, A., & Rezaei, T. (2018). The relationship between self-efficacy and compliance with self-care behaviors in patients with acute coronary syndrome after coronary angioplasty in Shahid Madani Hospital, 2016: a health belief model. Journal of Research in Medical and Dental Science, 6(3), 415-420. doi. 10.24896/jrmds.20186364

Assadi, S. N. (2017). What are the effects of psychological stress and physical work on blood lipid profiles. Medicine, 96(18), doi: 10.1097/MD.0000000000006816

Bandura, A. (1997). Self-efficacy: The exercise of control. W. H. Freeman and Company.

Benjamin, E. J., Virani, S. S., Callaway, C. W., Chamberlain, A. M., Chang, A. R., Cheng, S., …Muntner, P. (2018). Heart disease and stroke statistics-2018 update: A report from the American Heart Association. Circulation, 137(12), e67-e492. doi: 10.1161/CIR.0000000000000558

Buis, L. R., Dawood, R. M., Brescia, S. J., Dawood, K. L., Barone, B. A., & Steinberger, E. C. (2020). Individual versus group-based self-efficacy-enhancing mHealth interventions for physical activity promotion: randomized controlled trial. JMIR mHealth and uHealth, 8(1), e14797. https://doi.org/10.2196/14797

Burns, N., & Grove, S. K. (2009). The practice of nursing research: Appraisal, synthesis, and generation of evidence (6th ed.). Saunders Elsevier.

Central Chest Institute of Thailand. (2019). Save Thais from Heart Disease. https://www.ccit.go.th/saveheart/document/2562/project2562.pdf.

Dale, L. P., Whitteaker, R., Jiang, Y., Stewart, R., Rolleston, A., & Maddison, R. (2015). Text Message and Internet Support for Coronary Heart Disease Self-Management: Results from the Text4 Heart Randomized Controlled Trial. Journal of Medical Internet Research, 17(10), e237.

Du, L., Cheng, Z., Zhang, Y., Li, Y., & Mei, D. (2017). The impact of medication adherence on clinical outcomes of coronary artery disease: A meta-analysis. European Journal of Preventive Cardiology, 24(9), 962-970. https://doi.org/10.1177/2047487317695628

Fisher, E. B., Boothroyd, R. I., Elstad, E. A., Hays, L., Henes, A., Maslow, G. R., & Velicer, C. (2018). Peer support of complex health behaviors in prevention and disease management with special reference to diabetes: Systematic reviews. Clinical Diabetes and Endocrinology, 4, 1–7. https://doi.org/10.1186/s40842-018-0065-2

Hall, A. K., Cole-Lewis, H., & Bernhardt, J. M. (2015). Mobile text messaging for health: a systematic review of reviews. Annual Review of Public Health, 36, 393–415.

Johansson, S., Rosengren, A., Young, K., & Jennings, E. (2017). Mortality and morbidity trends after the first year in survivors of acute myocardial infarction: a systematic review. BioMed Central Cardiovascular Disorder, 17(1), doi: 10.1186/s12872-017-0482-9.

Kang, Y., Yang, I. S. & Kim, N. (2010). Correlates of Health Behaviors in Patients with Coronary Artery Disease. Asian Nursing Research, 4(1), 45-55.

Lawton, J. S., Tamis-Holland, J. E., Bangolore, S., Bates, T. M., Bischoff, J. M., Bittl, J. A., Cohen, M. G., DiMaio, J. M., Don, C. W., Fremes, S. E., Guadino, M. F., Grant, M. C., Jaswal, J. B., Kurlansky, P. A., Mehran, R., Metkus, T. S., Nnacheta, L. C., Rao, A. V. . . Zwischenberger, B. A. (2021). 2021 ACC/AHA/SCAI Guidelines for Coronary Revascularization. Journal of The American College of Cardiology, 79(2), e21–e129. https://www.ahajournals.org/doi/epub/10.1161/CIR.0000000000001038

Noar, S. M., & Willoughby, J. F. (2020). eHealth interventions for behavior change: A systematic review of reviews. American Journal of Public Health, 110(2), e1–e9. https://doi.org/10.2105/AJPH.2019.305490

O'Donovan, G., Lee, I. M., Hamer, M., & Stamatakis, E. (2017). Association of "Weekend Warrior" and other leisure time physical activity patterns with risks for all-cause, cardiovascular disease, and cancer mortality. Jounal Archives of Internal Medicine, 177(3), 335-342. doi: 10.1001/jamainternmed.2016.8014

Oliveira, L. M. S. M. D., Costa, I. M. N. B. D., Silva, D. G. D., Silva, J. R. S. S., Barreto-Filho, J. A. S., Almeida-Santos, M. A., . . . Sousa, A. C. S. (2018). Readmission of Patients with Acute Coronary Syndrome and Determinants. Sociedade Brasileira de Cardiologia, 113(1), 42-49. doi: 10.5935/abc.20190104

Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2011). Health promotion in nursing practice (6th ed.). Pearson Education.

Polit, D. F., & Beck, C. T. (2004). Nursing research: Principles and methods (7th ed). Lippincott Williams & Wilkins.

Shin, H., Lee, H., Kim, M., & Song, R. (2011). The effects of a self-monitoring program using a PDA on self-efficacy and physical activity in obese women. Journal of Clinical Nursing, 20(9–10), 1294–1303. https://doi.org/10.1111/j.1365-2702.2010.03667.x

Sinha, S. K., Goel, A., Madaan, A., Thakur, R., Krishna, V., & Singh, K., Sachan, M., Pandey, U., & Varma, C. M. (2016). Prevalence of metabolic syndrome and its clinical and angiographic profile in patients with naive acute coronary syndrome in North Indian population. Journal of Clinical Medicine Research, 8(9), 667. doi: 10.14740/jocmr2655w

Thai Acute Coronary Syndrome Registry. (n.d.). Summary report on the management of ACS registry data 2017–2022. http://www.ncvdt.org/Default.aspx

World Health Organization. (2023). Cardiovascular diseases (CVDs). https://www.who.int

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-09-01

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย