การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคหืด โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคหืด โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2) พัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคหืด และ
3) ประเมินการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความพึงพอใจต่อรูปแบบการวางแผนจำหน่ายของผู้ดูแล หลังการใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างได้จากการเลือกแบบเจาะจง แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะศึกษาปัญหา มี 3 กลุ่ม (1) พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเด็ก 3 จำนวน 11 คน (2) ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหืดให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับปัญหาการดูแลผู้ป่วยหอบหืดและแนวทางการดูแล จำนวน 5 คน และ (3) ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหืด กลุ่มก่อนทดลอง จำนวน 35 คน 2) ระยะพัฒนารูปแบบ เป็นพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติในหอผู้ป่วยแห่งนี้ จำนวน 11 คน และ 3) ระยะทดลองใช้รูปแบบ เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหืด กลุ่มหลังทดลอง จำนวน 35 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความพึงพอใจต่อรูปแบบการวางแผนจำหน่ายของผู้ดูแล มีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง เท่ากับ 0.95 และ 0.85 ตามลำดับ และรูปแบบการวางแผนจำหน่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการวางแผนจำหน่าย แบ่งเป็น 3 ด้าน (1) ด้านโครงสร้าง ได้แก่ โรงพยาบาลมีนโยบายการวางแผนจำหน่าย แต่ไม่มีแนวทางการปฏิบัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน เป็นการวางแผนจำหน่ายตามประสบการณ์ และไม่มีการมีส่วนร่วมของผู้ดูแล (2) ด้านกระบวนการ ได้แก่ ไม่มีการปฏิบัติที่เป็นระบบอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนมากให้คำแนะนำในวันจำหน่าย และ (3) ด้านผลลัพธ์ คือ ไม่มีการติดตามประเมินผลที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง 2) รูปแบบการวางแผนจำหน่ายที่พัฒนาขึ้น มีขั้นตอนอย่างเป็นระบบตั้งแต่การประเมินปัญหาและความต้องการการวางแผนจำหน่ายโดยผู้ดูแลมีส่วนร่วม การวางแผนการปฏิบัติ และการประเมินผล การวางแผนการจำหน่ายบูรณาการกับรูปแบบ D-METHOD และการเสริมสร้างพลังอำนาจ ร่วมกับการใช้แบบบันทึกการวางแผนจำหน่าย อุปกรณ์พ่นยา เอกสารการพ่นยาอย่างถูกวิธี และแผนการสอน และ 3) หลังใช้รูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคหืดมีการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และความพึงพอใจต่อรูปแบบการวางแผนการจำหน่ายอยู่ในระดับมากที่สุด
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กันทิมา ขาวเหลือง. (2555). การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายทารกคลอดก่อนกำหนดที่ส่งเสริมการ
ดูแลต่อเนื่อง. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ, 6(1), 27-39.
กัลยพัทธ์ นิยมวิทย์. (2560). การพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหืดในการใช้ยาพ่นสูด: หลักการและแนวปฏิบัติ.
วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28(2), 192-201.
กัลยา เข็มเป้า. (2552). การพัฒนารูปแบบการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินสุลินที่มี
แผลที่เท้า โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา. วารสารกองการพยาบาล, 36(3), 113-132.
ชลธิชา ตั้งชีววัฒนกุล. (2561). ปัจจัยที่มีผลต่อการควบคุมอาการของผู้ป่วยเด็กโรคหืด โรงพยาบาลพังงา.
วารสารวิชาการแพทย์, 32(4), 1269-1281.
ฐิตินันท์ ไมตรี. (2558). ผลของการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยเด็กโรคหืดต่อความรู้และทักษะของผู้ดูแล.
สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2561, จาก http://www.hospital.tu.ac.th/km/admin/new/200418_155909.pdf
บุญใจ ศรีสถิตย์นรากูร. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพยาบาลศาสตร์ (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพ
มหานคร: ยูแอนไออินเตอร์มีเดีย.
ปริญญาพร ไหมแพง. (2559). ประสิทธิผลการดูแลรักษาของคลินิกโรคหืด อย่างง่ายในเด็กโรงพยาบาล
หล่มสัก. วารสารกรมการแพทย์, 41(3), 83-91.
สุนันท์ ขาวประพันธ์. (2555). ผลของการดูแลสุขภาพที่บ้านต่อพฤติกรรมของครอบครัวในการดูแลเด็ก
โรคหืด. วารสารสภาการพยาบาล, 27(2), 108-121.
Bandura, A. (1988). Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological
Review, 84(2), 191-215.
Berry, J. G., Blaine, K., Rogers, J., McBride, S., Schor, E., Birmingham, J. . . Feudtner, C. (2014). A
framework of pediatric hospital discharge care informed by legislation, research, and practice.
The Journal of the American Medical Association Pediatrics, 168(10), 955-962.
Camp, P. G., Norton, S. P., Goldman, R. D., Shajari, S., Smith, M. A., Heathcote, S., & Carleton, B.
(2014). Emergency department visits for children with acute asthma: Discharge instructions,
parental plans, and follow-through of care-a prospective study. Canadian Journal of Emergency
Medicine, 16(6), 467-476.
Cherian, V. (2018). The global asthma report 2018. Retrieved March 1, 2019, from
http://www.globalasthmareport.org/Global%20Asthma%20Report%202018.pdf
Donabedian, A. (1992). The role of outcomes in quality assessment and assurance. Quality Review
Bulletin, 18, 356-360.
Gilad, C., Stan, G., & Dov, E. (2001). Validation of a new general self-efficacy scale, Retrieved
August 22, 2017, from https://www.researchgate.net/publication/228864305_Validation_
of_a_New General_Self-Efficacy_Scale
Kanter, R. M. (1979). Power failure in management circuits. Harvard Business Review, 57, 65-75.
Lampkin, S. J. (2016). Asthma review for pharmacists providing asthma education. Retrieved June 22,
, from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27877099
McKeehan, K. M., & Coulton, C. J. (1985). A system approach to program development for continuity
of care in hospitals. In K. McClelland, K. Kelly, & K. Buckwalter (Eds.). Continuity of care:
Advancing the concept of discharge planning (pp. 79-92). Orlando, FL: Grune & Stratton.
Wong, E. L., Yam, C. H., Cheung, A. W., Leung, M. C., Chan, F. W., Wong, F. Y ., & Yeoh, E. K.
(2011). Barriers to effective discharge planning: A qualitative study investigating the perspectives
of frontline healthcare professionals. BioMed Central Health Services Research, 11(1), 242.