ผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน จำนวน 50 คน เลือกแบบเจาะจง และสุ่มแยกเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 25 คน กลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลตามปกติ ส่วนกลุ่มทดลองได้เข้าร่วมโปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพเป็นเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือวิจัย ได้แก่ โปรแกรมสร้างเสริมสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที และการทดสอบของฟิชเชอร์ ผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลอง สตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวานในกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกว่าก่อนการทดลอง (t = 7.03) และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ (t = 9.44) และหลังการทดลอง หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองที่มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ มีจำนวนมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ ( ꭓ2 = 0.098) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
References
คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ. (2566). แนวทางเวชปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย: การดูแลสตรีตั้งครรภ์. https://www.rtcog.or.th/files/1674635976_6d73979546c171367a41.pdf
ทัศนีวรรณ กรุงแสนเมือง, และสมพร วัฒนนุกูลเกียรติ. (2564). ผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยง. วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล, 27(1), 106-121.
นงคราญ ไชยรบ และ เกศกัญญา ไชยวงศา. (2563). ผลของโปรแกรมส่งเสริมพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายต่อระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงที่เป็นเบาหวานในระยะตั้งครรภ์. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 13(1), 330-337.
นิตยา หนูนวล. (2566). ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการติดตามด้วยแอปพลิเคชันไลน์ต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และระดับน้ำตาลในเลือดของสตรีที่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 6(2), 1-15.
ประเสริฐ ศันสนีย์วิทยกุล และนลัท สมภักดี. (2560). โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์. ใน ประภัทร วานิชพงษ์พันธุ์, กุศล รัศมีเจริญ และตรีภพ เลิศบรรณพงษ์ (บ.ก.). ตำราสูติศาสตร์ (น. 152-165). พี เอ ลีฟวิ่ง.
ปิยะภรณ์ ประสิทธิ์วัฒนเสรี. (2562). การพยาบาลสตรีที่มีภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม. ใน บังอร ศุภวิทิตพัฒนา และ ปิยะภรณ์ ประสิทธิ์วัฒนเสรี (บ.ก.). การพยาบาลและการผดุงครรภ์: สตรีที่มีภาวะเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน (น. 111-126). สมาร์ทโคตรติ้งแอนด์เซอร์วิส.
ราตรี พลเยี่ยม และ สมพร วัฒนนุกูลเกียรติ. (2558). ผลของโปรแกรมการให้ความรู้อย่างมีแบบแผนตามความเชื่อด้นสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในระยะตั้งครรภ์. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา, 22(1), 77-92.
วลัยลักษณ์ สุวรรณภักดี, มลิวัลย์ บุตรดำ, และอุทุมพร ดุลยเกษม. (2563). การออกกำลังกายกับเบาหวานขณะตั้งครรภ์. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 7(11), 396-409.
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ. (2566). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2566. ศรีเมืองการพิมพ์.
American Diabetes Association Professional Practice Committee. (2024). 15. Management of diabetes in
pregnancy: Standards of care in Diabetes-2024. Diabetes Care, 47(Suppl.1), S282-S294. https://doi.org/10.2337/dc24-S015
Becker, M. H., Maiman, L. A., Kirscht, J. P., Haefner, D. P., & Drachman, R. H. (1977). The health belief model and prediction of dietary compliance: A field experiment. Journal of Health and Social Behavior, 18(4), 348-366. https://doi.org/10.2307/2955344
Cunningham, F. G., Leveno, K. J., Dashe, J. S., Hoffmam, B. L., Spong, C. Y., & Casey, B. M. (Eds.). (2022). Williams obstetrics (26th.ed.). McGraw Hill.
Ibrahim, R. E. S., & Saber, N. M. (2019). Impact of self-care program for gestational diabetic women on pregnancy outcomes. American Journal of Nursing Research, 8(1), 122-131. https://doi.org/10.12691/ajnr-8-1-13
International Diabetes Federation. (2021). IDF Diabetes atlas 2021 (10th ed.). International Diabetes Federation.
Park, S. J., & Lee, J. (2020). The effects of health care programs for gestational diabetes mellitus in South Korea: A systematic review. Korean Journal of Women Health Nursing, 26(4), 274–284. https://doi.org/10.4069/kjwhn.2020.10.28
Paschali, A. A., Peppou, L. E., & Benroubi, M. (2020). Relaxation training significantly reduced blood glucose levels in patients with type 1 diabetes mellitus. Hormones (Athens, Greece), 19(2), 215–222. https://doi.org/10.1007/s42000-020-00187-w