ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของบุคลากรโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา

ผู้แต่ง

  • พัฒนพงษ์ คืบขุนทด -
  • พรทิพย์ นิ่มขุนทด
  • นันธนิต หงษ์ทอง
  • พีรวัฒน์ สกุลประเสริฐศรี
  • วรรีย์ วรรณสิงห์

คำสำคัญ:

ประเมิน, ความเครียด, พฤติกรรมสุขภาพ, ความเสี่ยง, โรคหัวใจและหลอดเลือด

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของบุคลากรโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ Thai CV risk score, แบบสอบถามความเครียด แบบวัดความเครียด กรมสุขภาพจิต (SPST - 20) ,ผลการตรวจทางปฏิบัติการประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ Echocardiography, Exercise stress test, Ultrasound carotid, Ankle Brachial Index (ABI), Body composition และ Hand Grip กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา คัดเลือกใช้วิธีเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Mean+ SD) ส่วนการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร ใช้ Pearson correlation

 ผลการศึกษา พบว่า การประเมินระยะเริ่มต้นของบุคลากรโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ70 อยู่ในกลุ่มอายุ 51-60 ปี ร้อยละ67.5 โดยมีอายุต่ำสุด 44 ปี และอายุสูงสุด 65 ปี ผู้เข้าร่วมวิจัย ร้อยละ25 มีความรู้โรคหัวใจและหลอดเลือด ก่อนเข้าร่วมวิจัย อยู่ในระดับต่ำ  หลังเข้าร่วมวิจัยมีความรู้ระดับสูงร้อยละ20 ระดับปานกลางร้อยละ75  ร้อยละผู้ป่วยที่มีความรู้ระดับต่ำลดลงเหลือร้อยละ5 และจากการทำวิจัยพบ Fatty Liver 12 ราย, พบ Thyroid 1 ราย, พบหัวใจเต้นผิดจังหวะ 2 ราย และพบว่า อายุ การไม่ออกกำลังกาย และความเครียดจากการทำงาน มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 หากมีการนำผลการวิจัยไปใช้ควรมีการพัฒนารูปแบบการให้บริการสุขภาพ ให้คำปรึกษา ให้ความรู้สุขศึกษา ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและการรับรู้ประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง พร้อมศึกษาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ด้านการออกกำลังกาย และการเลิกสูบบุหรี่

References

World Health organization. In: Noncommunicable Diseases Progress Monitor. 2017.

WHO. What is moderate-intensity and vigorous-intensity physical activity? Available:

https://www.who.int/dietphysicalactivity/physical_activity_ intensity/en/ [Accessed 16 Aug 2019].

Keage HAD, Feuerriegel D, Greaves D, Tregoweth E, Coussens S, Smith AE. Increasing Objective Cardiometabolic Burden Associated With Attenuations in the P3b Event-Related Potential Component in Older Adults. Front Neurol. 2020 Jul;30:11:643.

De Jong M, Oskam MJ, Sep SJS, Ozcan B, Rutters F, Sijbrands EJG, et al. Sex differences in cardiometabolic risk factors, pharmacological treatment and risk factor control in type 2 diabetes: findings from the Dutch Diabetes Pearl cohort. BMJ Open Diab Res Care. 2020 Oct;8(1):e001365.

Amabile N, Cheng S, Renard JM, Larson MG, Ghorbani A, McCabe E, et al. Association of circulating endothelial microparticles with cardiometabolic risk factors in the Framingham Heart Study. European Heart Journal. 2014 Nov 7;35(42):2972–9.

Juárez-Pérez CA, Aguilar-Madrid G, Haro-García LC, Gopar-Nieto R, Cabello-López A, Jiménez-Ramírez C, et al. Increased cardiovascular risk using atherogenic index measurement among healthcare workers. Arch Med Res. (2015) 46:233–9.

Lo E-WV, Wei Y-H, Hwang B-F. Association between occupational burnout and heart rate variability: a pilot study in a high-tech company in Taiwan. Medicine. (2020) 99:e18630. 10.1097/MD.0000000000018630

O’Sullivan G, O’Sullivan K, Gallagher J. Work-related stress induced takotsubo cardiomyopathy. Ir Med J. (2020) 113:27.

Mielczarek A, Kasprzak JD, Marcinkiewicz A, Kurpesa M, Uznańska-Loch B, Wierzbowska-Drabik K. Broken heart as work-related accident: occupational stress as a cause of takotsubo cardiomyopathy in 55-year-old female teacher – Role of automated function imaging in diagnostic workflow. Int J Occup Med Environ Health. (2015) 28:1031–4. 10.13075/ijomeh.1896.00564

Mendis S, Puska P, Norrving B, editors. Global atlas on cardiovascular disease prevention and control. Genneva World Health Organization; 2011.

Cochrane T, Davey R, Iqbal Z, et al. NHS health checks through general practice: randomised trial of population cardiovascular risk reduction. BMC Public Health 2012; 12: 944.

Wister A, Loewen N, Kennedy-Symonds H, et al. One year follow-up of a therapeutic lifestyle interventiontargeting cardiovascular disease risk. CMAJ 2007; 177: 859–65.

Fleming P and Godwin M. Lifestyle interventions in primary care: Systematic review of randomized controlled trials. Can Fam Physician 2008; 54: 1706-13.

Solutions for Public Health. International Cardiovascular Disease Prevention case studies. 2018. Accessed on 10th December 2018. Available from: URL; https://www.sph.nhs.uk/wp-content/uploads/2018/11final-cvd-prevention-report-08-oct-18.pdf

Yusuf S, Hawken S, O- unpuu S, et al. Effect of potentially modifiable risk factors associated with myocardial infarction in 52 countries (the INTERHEART study): case–control study. Lancet 2004; 364: 937–52.

เกษชดา ปัญเศษ และคณะ.(2558).ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของบุคลากรที่ปฏิบัติราชการส่วนกลาง กระทรวงสาธารณสุข [โดยใช้แบบประเมินความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด Rama – EGAT Heart Score].วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข, 15-70.

นิตยา พันธุเวทย์, นุชรี อาบสุวรรณ, ธิดารัตน์ อภิญญา. คู่มือประเมินและจัดการความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด.นนทบุรี: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย; 2557.

วิภาวรรณ ศิริกังวานกุล, รัตน์ศิริ ทาโต, ระพิณ ผลสุข. ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของกำลังพลกองทัพบก. วารสารพยาบาลศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย2560;29:99-111.

วิเชียร เกตุสิงห์. สถิติวิเคราะห์สำหรับการวิจัย. กรุงเทพ-มหานคร: ไทยวัฒนาพานิช; 2538.

เมธิกานต์ ทิมูลนีย์, สุนิตา ปรีชาวงษ์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดในพนักงานทำความสะอาดวัยก่อนหมดประจำเดือน. วารสารเกื้อการุณย์2559;23:118-32.

สมชัย อัศวสุดสาคร และคณะ(2562).การบูรณาการระบบบริการสุขภาพเพื่อคัดกรองและลดกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด จังหวัดนครราชสีมา 2560-2561.วารสารกรมการแพทย์,150-157

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. ปัจจัยเสียงที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด (อินเทอร์เน็ต].2560เสืบค้นเมื่อ 23 ม.ค. 2561J. แหล่งข้อมูล: htp://www.thaihealth.or.h/Content/38990 -ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด.html

สุริยา หล้าก่, ศิราณีย์ อินธรหนองไผ่. ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง ตำบลเหนือเมืองอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารพยาบาลตำรวจ 2560;9:85-94.

เอมอร แสงศิริ, ดวงกมล วัตราดุลย์, สุธานิธิ กาญจนกุล,ศรีรัตน์ ณัฐธำรงกุล, สถิตพร นพพลับ, สะอาด วงศ์อนันต์-นนท์. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสมารถในการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก 2558:26:104 - 18.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2025-01-14

How to Cite

1.
คืบขุนทด พ, นิ่มขุนทด พ, หงษ์ทอง น, สกุลประเสริฐศรี พ, วรรณสิงห์ ว. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจของบุคลากรโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา . journalkorat [อินเทอร์เน็ต]. 14 มกราคม 2025 [อ้างถึง 27 มีนาคม 2025];10(2):18-2. available at: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/journalkorat/article/view/268072