การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบประสิทธิผลและความปลอดภัยของซิงค์ซัลเฟต ในการลดอาการคันในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย

Main Article Content

ฝันฝ้าย สมเกียรติ
อนันต์ เชื้อสุวรรณ

บทคัดย่อ

ที่มาและความสำคัญ อาการคันในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเป็นหนึ่งในอาการที่สร้างความทุกข์ทรมานและทำลายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย มีรายงานก่อนหน้านี้ว่าผิวหนังของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ที่มีอาการคันมีระดับการแสดงออกของยีนที่ควบคุมการสร้างแคลเซียมไอออนแชนเนลชนิด Cav3.2 มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการคัน นำไปสู่การลดระดับขีดกั้นของการรับรู้สึกคัน และไอออนแชนเนลเหล่านี้อาจถูกยับยั้งโดยสังกะสี นอกจากนี้คาดว่าสังกะสีอาจสามารถยับยั้งสารก่อความคันฮิสตามีนได้ การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบโดยให้ซิงค์ซัลเฟตขนาด 440 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ในผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตจำนวน 40 ราย จากประเทศอิหร่าน สามารลดอาการคันได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง อย่างไรก็ตามการศึกษาดังกล่าวยังไม่มีการวัดระดับปริมาณสังกะสีหรือระบุความสัม พันธ์ระหว่างปริมาณสังกะสีและการลดระดับอาการคันที่ชัดเจน
ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยืนยันประสิทธิผลของการให้สังกะสีรูปแบบซิงค์ซัลเฟตในการลดอาการคันในผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์รองเพื่อหาความสัมพันธ์ของระดับสังกะสีกับอาการคัน ประสิทธิผลของการให้ซิงค์ซัลเฟตในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และ ผลข้างเคียงจากการสุ่มให้ซิงค์ซัลเฟตวันละ 440 มิลลิกรัม แบ่งให้ครั้งละ 220 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลา หรือยาหลอกเป็นเวลา 12 สัปดาห์ และหยุดให้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ทำการประเมินระดับความรุนแรงของอาการคันโดยใช้มาตรวัดความคันด้วยสายตาและประเมินคุณภาพชีวิตโดย Uremic Pruritus in Dialysis Patients (UP-Dial) scale ทุก 4 สัปดาห์ โดยให้การลดลงของค่ามาตรวัดความคันด้วยสายตาตั้งแต่ 3 เป็นต้นไปถือว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
ผลการศึกษา ผู้ป่วยจำนวน 55 ราย ได้รับการสุ่มให้ซิงค์ซัลเฟตจำนวน 28 ราย และยาหลอกจำนวน 27 ราย พบว่าทั้งสองกลุ่มมีลักษณะพื้นฐานใกล้เคียงกัน รวมทั้ง ระดับความเพียงพอของการฟอกเลือดที่พอเพียง (1.66±0.31 และ 1.65±0.28) พบว่าทั้งสองกลุ่มมีระดับค่ามาตรวัดความคันด้วยสายตา(7.00±1.90 และ 5.63±2.09)และระดับสังกะสี(58.50 9.46 และ 63.00±7.15 มคก./ดล.)ในช่วงเริ่มต้นของการศึกษาแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างในผลต่างค่าเฉลี่ยของระดับค่ามาตรวัดความความคันด้วยสายตาเทียบกับระดับเริ่มต้นที่ 4 สัปดาห์ (1.41; 95%CI, 0.095-2.732; p=0.036) แต่เมื่อติดตามการรักษาจนครบ 12 สัปดาห์และ 16 สัปดาห์พบว่า การให้ซิงค์ซัลเฟตไม่มีความแตกต่างในการลดระดับค่ามาตรวัดความคันด้วยสายตาเทียบกับระดับเริ่มต้นเมื่อเทียบกับยาหลอก (1.131; 95%CI, -0.423-2.684; p=0.150) และ (1.505; 95% CI,-0.142-3,152; p=0.072) ตามลำดับ ไม่สามารถระบุความสัมพันธ์ระหว่างระดับสังกะสีหรือการเปลี่ยนแปลงของระดับสังกะสีในเลือดกับระดับค่ามาตรวัดความความคันด้วยสายตา
การให้ซิงค์ซัลเฟตไม่มีความแตกต่างในการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเมื่อเทียบกับยาหลอก และไม่พบความแตกต่างในแง่ของอาการข้างเคียงระหว่างทั้งสองกลุ่ม
สรุป การศึกษานี้ไม่พบความแตกต่างระหว่างการให้ซิงค์ซัลเฟต หรือยาหลอก ในการลดระดับความรุนแรงของอาการคันในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้าย การศึกษาในอนาคตอาจต้องการกลุ่มผู้ป่วยในการศึกษาที่มากขึ้น และการติดตามระดับสังกะสีในเลือดที่ 4 สัปดาห์

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
สมเกียรติ ฝ., & เชื้อสุวรรณ อ. (2022). การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบประสิทธิผลและความปลอดภัยของซิงค์ซัลเฟต ในการลดอาการคันในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย. แพทยสารทหารอากาศ, 68(2), 17–31. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtafmg/article/view/254591
ประเภทบทความ
นิพนธ์ต้นฉบับ

เอกสารอ้างอิง

1.Combs SA, Teixeira JP, Germain MJ. Pruritus in Kidney Disease. Semin Nephrol. 2015;35(4):383-391. doi:10.1016/j.semnephrol.2015.06.009
2.Verduzco HA, Shirazian S. CKD-Associated Pruritus: New Insights Into Diagnosis, Pathogenesis, and Management. Kidney Int Rep. 2020;5(9):1387-1402. Published 2020 May 8. doi:10.1016/j.ekir.2020.04.027
3.Momose A, Yabe M, Chiba S, Kumakawa K, Shiraiwa Y, Mizukami H. Role of Dysregulated Ion Channels in Sensory Neurons in Chronic Kidney Disease-Associated Pruritus. Medicines (Basel). 2019;6(4):110. Published 2019 Nov 13. doi:10.3390/medicines6040110
4.Matsumoto M. Pruritus and mast cell proliferation of the skin in end stage renal failure. Clinical Nephrology. 1985;23(6):285–8.
5.Sanada S. Beneficial effect of zinc supplementation on pruritus in hemodialysis patients with special reference to change in serum histamine levels. Hinyokika kiyo. 1987;33(12):1955–60.
6.Najafabadi MM. Zinc Sulfate for Relief of Pruritus in Patients on Maintenance Hemodialysis. Therapeutic Apheresis and Dialysis. 2012Sep;16(2):142–5.
7.Nochaiwong S. Clinical interpretation of the Uremic Pruritus in Dialysis Patients (UP-Dial) scale: a novel instrument for the assessment of uremic pruritus. Journal of The European Academy of Dermatology and Venereology. 2018Jul;32(7):1188–94.
8. Bernard, R. (2000). Fundamentals of biostatistics (5th ed.). Duxbery: Thomson learning, 308.
9. Ngamjarus C., Chongsuvivatwong V. (2014). n4Studies: Sample size and power calculations for android. The Royal Golden Jubilee Ph.D. Program - The Thailand Research Fund&Prince of Songkla University.
10.Massry SG, Popovtzer MM, Coburn JW, Makoff DL, Maxwell MH, Kleeman CR. Intractable pruritus as a manifestation of secondary hyperparathyroidism in uremia. Disappearance of itching after subtotal parathyroidectomy. N Engl J Med. 1968;279(13):697-700.
11.Narita I, Iguchi S, Omori K, Gejyo F. Uremic pruritus in chronic hemodialysis patients. J Nephrol. 2008 Mar-Apr;21(2):161-5.
12.Moniaga CS, Tominaga M, Takamori K. Mechanisms and Management of Itch in Dry Skin. Acta Derm Venereol. 2020;100(2):adv00024. doi:10.2340/00015555-3344
13. Morton CA, Lafferty M, Hau C, Henderson I, Jones M, Lowe JG. Pruritus and skin hydration during dialysis. Nephrol Dial Transplant. 1996;11(10):2031-2036.
14. Dashti-Khavidaki S, Khalili H, Vahedi SM, Lessan-Pezeshki M. Serum zinc concentrations in patients on maintenance hemodialysis and its relationship with anemia, parathyroid hormone concentrations and pruritus severity. Saudi J Kidney Dis Transpl. 2010 Jul;21(4):641-5.
15. Unhapipatpong C. Alcoholic Cirrhosis with Zinc and Copper Co-Deficiency. Case reports in Clinical Nutrition. 2019Apr4;2:8–15.