การป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศแบบองค์รวม

Main Article Content

สมโรจน์ จิริวิภากร

บทคัดย่อ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา


ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยปัญหาเรื่องปวดจากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากการตรวจผู้ป่วยนอกในแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู จากสถิติของกรมอนามัย(1) กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าในคนวัยทำงานร้อยละ 60 มีอาการปวดจากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม และจากการรวบรวมสถิติของกองเวชศาสตร์ฟื้นฟู(2) โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) พบว่ามีกำลังพลกองทัพอากาศ ร้อยละ 38 และสถิติของกองเวชศาสตร์ฟื้นฟูโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พบว่ามีกำลังพลกองทัพอากาศ ร้อยละ 26 ที่มีอาการปวดจากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมทำให้ผู้ป่วยเสียเวลาปฏิบัติงาน ต้องมาตรวจรักษา แพทย์อาจมีการสั่งยาให้ผู้ป่วยกลับไปรับประทาน หรือบางคนต้องนัดกายภาพบำบัดต่อเนื่อง ถ้าอาการไม่ดีขึ้นขั้นตอนต่อไป อาจส่งตรวจวินิจฉัยเอกซเรย์และปรับแผนการรักษาต่อไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดเรื้อรัง เนื่องจากสาเหตุต้องนั่งปฏิบัติงานอยู่นานทุกวัน ไม่สามารถปรับลักษณะงานได้ ทำให้โอกาสหายขาดจากอาการปวดเป็นไปได้น้อย กำลังพลกองทัพอากาศที่มีอาการปวดมากจากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ที่ต้องมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลนั้น ทำให้รัฐสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาผ่านทางกรมบัญชีกลาง ซึ่งผู้ป่วยบางคนต้องขอใบรับรองแพทย์ลาป่วยเพื่อหยุดปฏิบัติงาน บางคนทำให้เสียคุณภาพชีวิตในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือมีอาการนอนไม่หลับ มึนเวียนศีรษะร่วมด้วย อาจทำให้มีอาการเครียดและมีผลต่อสุขภาพจิตตามมาภายหลัง ดังนั้นการป้องการการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมจึงมีความสำคัญมาก


วัตถุประสงค์การวิจัย


1. เพื่อศึกษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม


2. เพื่อป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศ


3. เพื่อให้กำลังพลกองทัพอากาศมีแนวทางดูแลรักษาอาการปวดเบื้องต้นก่อนมาพบแพทย์


นิยามศัพท์


กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม หรือ Myofascial pain syndrome (MPS) หมายถึง กลุ่มอาการปวดจากกล้ามเนื้อตึงเกร็งอักเสบที่เกิดจากการนั่งปฏิบัติงานนาน หรือนั่งนานผิดท่า ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะการนั่งนานสะสมจนเกิดอาการตึงเกร็งในกล้ามเนื้อ มีอาการปวดที่เกิดในกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า สะบัก พบได้บ่อยในคนนั่งปฏิบัติงานเอกสาร หรืองานออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของ “ออฟฟิศซินโดรม” โดยที่อาการปวด (Pain) (3) หมายถึง ความรู้สึกที่ไม่สบาย หรือประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ไม่สบายในบริเวณเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ


ขอบเขตของการศึกษา


          เป็นการศึกษาวิจัยเอกสารเพื่อวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลในการป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม มาใช้ในกำลังพลกองทัพอากาศทุกคนที่มีประวัตินั่งปฏิบัติงานนาน ซึ่งประกอบด้วยขอบเขตเนื้อหาดังนี้


1. กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม


2. การป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม


3. กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศ


4. การวิเคราะห์เพื่อป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศ


               แบบองค์รวมตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข)


ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย


          กำลังพลกองทัพอากาศควรมีความรู้เรื่องกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นภัยเงียบอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณภาพการใช้ชีวิตประจำวันเสียไป เสียเวลาในการปฏิบัติงานและการรักษาตัว ทำให้กำลังพลกองทัพอากาศ มีคุณภาพชีวิตในการปฏิบัติงานดีขึ้น ลดเหตุการลาป่วยจากอาการปวด สามารถป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมและดูแลรักษาตนเองก่อนมาพบแพทย์ และเพื่อต่อยอดไปใช้ในบุคคลอื่นที่นั่งปฏิบัติงานนาน หรือนั่งนานผิดท่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) (4)


แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


สาเหตุและพยาธิสภาพ อาการและอาการแสดงของกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม


              1. สาเหตุ (Cause) ของการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมนั้น ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดจากภาวะการทำงานของกล้ามเนื้อที่มากจนเกินไป (muscle overload) เป็นลักษณะของการบาดเจ็บสะสม (microtrauma) ในเซลล์กล้ามเนื้อซึ่งเกิดจากการนั่งทำกิจกรรมนาน หรือนั่งนานผิดท่า และมีความสัมพันธ์กับเรื่องความไวของเส้นประสาท (nerve sensitive) จึงทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอาการปวดเรื้อรังตามมาได้ คือในคนที่มีความไวของเส้นประสาทมาก ทำให้มีการบาดเจ็บสะสมในเซลล์กล้ามเนื้อมากจากการนั่งนานเมื่อถึงจุดเวลาหนึ่งการบาดเจ็บสะสมจะแปลผลออกมาเป็นอาการปวดในกล้ามเนื้อมัดนั้น


              2. พยาธิสภาพการเกิด (Pathology) การอธิบายในระดับเซลล์กล้ามเนื้อ คือ มีลักษณะของการบาดเจ็บสะสม (microtrauma) ที่เกิดในเซลล์กล้ามเนื้อ ทำให้มีสารเคมีจากการอักเสบที่เกิดในเซลล์กล้ามเนื้อถูกปล่อยออกมา สารเคมีอักเสบที่เกิดขึ้นทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นเกิดการตึงเกร็งอักเสบ และแปลผลออกมาเป็นอาการปวดในกล้ามเนื้อ ส่วนทฤษฎี Energy Crisis(5) เชื่อว่าการเกิดของจุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อนี้ เป็นผลมาจากที่มีการบาดเจ็บ ก็ทำให้มีการรั่วของแคลเซี่ยมออกจาก sarcoplasmic reticulum หรือ extracellular fluid เข้าไปยัง sarcolemma ต่อจากนั้นแคลเซี่ยมก็จะไปรวมกับ ATP ทำให้แอคติน (actin) จับกับไมโอซิน (myosin) เกิดเป็นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ (pathological muscle contraction) ผลตามมาคือการขาดออกซิเจนและมีการคั่งค้างของเสีย (metabolic waste products) หลายอย่าง ทำให้เกิดอาการบวมเฉพาะที่และเสื่อมสลายของใยกล้ามเนื้อที่จุดนี้ เหตุการณ์นี้ก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และต่อมาจะพบว่ามีการหดตัว (shortening) ของ sarcomere เกิดเป็นก้อนเกร็งแข็ง (contraction knot) สำหรับวงจรการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ(6) นั้นจะทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบตามมา ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ สร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาทดแทน จึงทำให้โครงสร้างของเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ การเกิดพังผืดขึ้นในเนื้อเยื่อ ผลที่ตามมา คือหน้าที่ของเนื้อเยื่อเปลี่ยนไปเป็นไม่มีความแข็งแรงและสูญเสียความยืดหยุ่น จึงรบกวนการทำงาน


              3. อาการและอาการแสดง (Symptoms and signs) กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม เป็นอาการปวดที่เกิดจากการนั่งปฏิบัติงานในออฟฟิศเป็นระยะเวลานาน โดยที่คำว่า Myo หมายถึง กล้ามเนื้อ ส่วนคำว่า fascial หมายถึง พังผืด รวมคำแล้วหมายถึง กลุ่มอาการปวดที่เกิดจากพังผืดในกล้ามเนื้อ มีการตึงเกร็งอักเสบมาด้วยอาการปวดตึง โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า สะบัก ส่วนใหญ่มีอาการปวดขณะเวลานั่งปฏิบัติงานนานเกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไป หรือในบางคนมีอาการปวดที่บริเวณสะบักมาก ถ้ามีอาการปวดร้าวชาลงปลายแขนและนิ้วมือข้างซ้าย ทำให้คนไข้ต้องรีบมาโรงพยาบาลเพราะมีความกังวลเรื่องโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ สำหรับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมนั้นในผู้ป่วยบางคนนอกจากจะมีอาการปวดแล้ว อาจมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ(7) ร่วมด้วย เช่น มีเหงื่อออก ผิวหนังเย็นซีดร่วมด้วย ถ้าแพทย์ให้คนไข้ขยับหันคอส่วนใหญ่คนไข้จะขยับหันคอได้น้อยลงไม่สุดมุมการเคลื่อนไหวของกระดูกคอ หรือในบางครั้งเวลาแพทย์ใช้นิ้วกดลงไปในจุดกระตุ้น (trigger point) (8) ในกล้ามเนื้อบริเวณสะบักคนไข้จะมีอาการปวดชาร้าวลงปลายแขนถึงนิ้วมือได้ ส่วนการตรวจร่างกายในทางระบบประสาท (Neurological examination) ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติดี


กรอบแนวคิดในการศึกษา


การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยศึกษายุทธศาสตร์ชาติและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศ เพื่อวิเคราะห์ความเชื่อมโยงของการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม กับการป้องกันและรักษาของกำลังพลกองทัพอากาศ เพื่อกำหนดแนวทางในการจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ให้ถูกสรีระร่างกายของแต่ละบุคคล และการออกกำลังกายที่เหมาะสมถูกวิธี รวมถึงศึกษาในเรื่องการดูแลรักษาตนเองในเบื้องต้นก่อนมาพบแพทย์ เพื่อใช้เป็นข้อแนะนำ หรือข้อคิดเห็นในการปฏิบัติงานของกำลังพลกองทัพอากาศต่อไป


วิธีดำเนินการวิจัย


การศึกษาครั้งนี้ใช้การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และนำเสนอด้วยการวิเคราะห์ผลใน


เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis) โดยใช้ข้อมูลในการศึกษาประกอบด้วย ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) ได้แก่เอกสารทางวิชาการ และเอกสารทางราชการทั้งที่เคยและไม่เคยเผยแพร่ต่อสาธารณชนและ ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) ได้แก่เอกสารทางวิชาการบทความและบทวิเคราะห์ที่ผ่านการตีพิมพ์เรียบร้อยแล้วโดยรวบรวมข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับการตอบวัตถุประสงค์การวิจัยและมีแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ตามกรอบแนวคิดในการศึกษาต่อไป


ผลการวิจัย


จากการศึกษาทำให้พบว่า การจัดโต๊ะ เก้าอี้ และท่านั่ง เพื่อให้เหมาะสมในการปฏิบัติงาน (Ergonomic


workplace) มีความสำคัญ ซึ่งปัจจุบันการปฏิบัติงานในสำนักงานของภาครัฐและเอกชน(9) นั้นพบว่าคนส่วนใหญ่


มากกว่าร้อยละ 90 จะใช้เวลานั่งปฏิบัติงานติดต่อกันวันละหลายชั่วโมง และอาจไม่มีการเปลี่ยนท่าทางในการนั่งเกิน 1 ชั่วโมง ส่งผลให้เกิดโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อตามมา โดยอาการที่พบได้บ่อยที่สุดคืออาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า สะบัก สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวมากที่สุด คือการละเลย ไม่เห็นความสำคัญ หรือการขาดความรู้ในการปรับโต๊ะ เก้าอี้ให้เหมาะสมกับการนั่งของตนเอง ดังนั้นการใช้เก้าอี้ที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานตามหลักการยศาสตร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ผู้ใช้งานเกิดความสะดวกสบายขณะนั่งปฏิบัติงาน และลดปัญหาการบาดเจ็บในทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะยาวได้ ซึ่ง Ergonomic (การยศาสตร์) (10) มาจากคำในภาษากรีก ๒ คำ คือ คำว่า Ergon หมายถึง งาน และคำว่า Nomos หมายถึง กฎธรรมชาติ รวมคำหมายถึงกฎของงาน หรือสภาพการทำงาน เก้าอี้การยศาสตร์ คือ เก้าอี้ที่ถูกออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ของมนุษย์ มีการออกแบบที่เอื้ออำนวยและคำนึงถึงการรักษาลักษณะของท่านั่งให้เหมาะสมกับสภาพของร่างกายที่แตกต่างกันเพื่อลดปัญหาความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อจากการนั่งเป็นเวลานาน การออกแบบเก้าอี้ตามหลักการยศาสตร์ เก้าอี้ที่ออกแบบถูกต้องจะสามารถปรับเปลี่ยนความสูงของพนักพิงหลัง ที่พักแขนและที่พักเท้าได้ตามลักษณะงานของผู้ที่ใช้งาน ลักษณะเก้าอี้ตามหลักการยศาสตร์ที่ดีคือ 1) การใช้งาน สามารถปรับระดับความสูงและการใช้งานต่าง ๆ ได้ง่าย สะดวกและสามารถปรับได้ขณะใช้งาน 2) ส่วนประกอบขาเก้าอี้เป็นแบบ 5 ง่าม สามารถช่วยป้องกันเก้าอี้กระดกได้ระหว่างนั่ง ลักษณะโต๊ะทำงานที่แนะนำคือ ทำให้มุมข้อไหล่กางน้อยกว่า 15-20 องศาและยกข้อไหล่น้อยกว่า 25 องศา ข้อศอกวางบนที่รองแขนและงอประมาณ 90-100 องศา ดังนั้นขณะนั่งปฏิบัติงานควรจะให้ระดับของมือ แขน ข้อศอกและงานที่ทำอยู่ในระดับเดียวกันโดยระยะห่างระหว่างมือกับงานที่ทำควรอยู่ในช่วงน้อยกว่า 3 นิ้ว แต่ไม่เกิน 10 นิ้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ใช้งานรู้สึกสบายมากที่สุดและระยะห่างระหว่างผิวใต้โต๊ะทำงานหรือใต้แป้นพิมพ์กับต้นขาควรห่างประมาณ 1-2 นิ้ว


         การบริหารและออกกำลังกายที่เหมาะสมนั้น เพื่อให้มีสมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness) (11) ที่ดี หมายถึง การมีสภาพสรีรวิทยาที่ช่วยให้บุคคลสามารถประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือการมีสภาพสรีรวิทยาพื้นฐานสำหรับความสมบูรณ์ทางการกีฬา นอกจากนี้สมรรถภาพทางกายหรือความสมบูรณ์ทางกายเกี่ยวข้องกับความสามารถของร่างกายในการประกอบภารกิจประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็วและสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่นมีความสุขปราศจากโรคที่เกิดจากการขาดการออกกำลังกาย สมรรถภาพทางกายถูกแบ่งออกเป็นสมรรถภาพที่สัมพันธ์กับสุขภาพ (Health-related Fitness) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการมีสุขภาพที่ดีและสมรรถภาพทางกายที่สัมพันธ์กับทักษะกีฬา (Skill-related Fitness) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความสามารถทางการกีฬา


         การออกกำลังกายมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตให้มีสุขภาพดี การออกกำลังกายอย่างเพียงพอช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจของผู้ออกกำลังกาย ซึ่งในการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมทางกายที่มีรูปแบบวิธีการชัดเจน สามารถควบคุมความหนัก ระยะเวลาความถี่และกิจกรรมของการปฏิบัติให้เหมาะสม


กับความสามารถของแต่ละบุคคลได้


ส่วนการบริหารและออกกำลังกายประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก(12) คือ


         1. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching exercise) เป็นการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่าและ สะบัก


เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเกร็ง โดยการยืดกล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ ค้างไว้ประมาณ 15-20 วินาที/ครั้ง ควรทำประมาณ 5-10 ครั้ง/รอบ วันละ 1-2 รอบ ควรจะยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้ได้ครบทุกมัดที่มีปัญหาตึงเกร็งกล้ามเนื้อ


          2. การยืดต้านกล้ามเนื้อ (Strengthening exercise) เป็นการบริหารกล้ามเนื้อคอ บ่าและ สะบัก เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง โดยการใช้มือและศีรษะดันต้านกันในท่าต่าง ๆ ของกล้ามเนื้อแต่ละมัด มีท่าก้มศีรษะ ท่าแหงนศีรษะ ท่าหันศีรษะ และท่าเอียงศีรษะ โดยนับ 10 วินาที/ครั้ง ควรทำประมาณ 5-10 ครั้ง/รอบ วันละ 1-2 รอบ ควรจะยืดต้านกล้ามเนื้อให้ครบทุกมัดจึงจะพอเพียงในแต่ละวัน


         3. การขยับบริหารข้อต่อกระดูกคอ (Mobilization) ถือเป็นการบริหารเคลื่อนไหวข้อต่อกระดูกคอไปให้สุดมุม เพื่อป้องกันข้อต่อยึดติด (stiffness) โดยการขยับหันข้อต่อบริเวณกระดูกคอไปให้สุดมุม ในแต่ละท่ามีท่าก้มศีรษะ ท่าแหงนศีรษะ ท่าหันศีรษะ และท่าเอียงศีรษะ ควรทำวันละ 1-2 รอบ


ภาพที่ 1 ท่ากายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า สะบัก (ที่มา: ท่ากายบริหาร แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลรามคำแหง)


สำหรับการรักษาด้วยยา เมื่อคนไข้ที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดในกล้ามเนื้อ เวลาที่นั่งปฏิบัติงานนาน แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายคนไข้ โดยจะประเมินอาการปวดคนไข้ เวลาที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อใน ระดับที่ทนไม่ได้ ซึ่งมีอาการปวดมาก คือ จะมีระดับคะแนนปวด (pain scale) 7-10 คะแนน ดังนั้นแพทย์มักจะบริหารด้วยยาเพื่อรักษาอาการปวด ทำให้อาการปวดลดลงได้เมื่อประเมินว่าคนไข้มีระดับอาการปวดที่รบกวนคุณภาพการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับการรักษาด้วยยาประกอบด้วยยาที่ช่วยลดอาการปวดดังต่อไปนี้


1. ยาแก้ปวดต้านการอักเสบ (NSAIDS) (13) เป็นยาลดปวด เนื่องจากเป็นยาที่ออกฤทธิ์ในลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการบวมอักเสบลดลง มีผลทำให้อาการปวดลดลง


2. ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxant) เป็นยาลดอาการตึงเกร็งกล้ามเนื้อ ซึ่งยาบางตัวจะมีพาราเซตามอลผสมด้วย ทำให้มีการออกฤทธิ์ลดอาการปวดตึงเมื่อยของกล้ามเนื้อ แต่อาจมีผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น ง่วง มึนศีรษะ


3. ยาแก้ปวดปลายประสาทอักเสบ เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดความไวเส้นประสาทส่วนปลายทำให้ลดปวดจากอาการปวดเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ ส่วนใหญ่การบริหารยาจะให้คนไข้รับประทานก่อนนอน มีผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ง่วง มึนเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน จากการสำรวจ(14) ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้พบว่ามากกว่าร้อยละ 90 ใช้ยามากกว่า 1 ชนิด ส่วนใหญ่ใช้ยาต้านซึมเศร้า (TCAs) ประมาณร้อยละ 77 และใช้ยาในกลุ่มกันชัก (Anticonvulsants) อีกประมาณร้อยละ 70 แต่มีข้อเสียในแง่ผลข้างเคียงจึงเปลี่ยนมาใช้ยากันชัก (Anticonvulsants) คือ ยา Gabapentin ซึ่งให้ประสิทธิภาพดี แต่มีการใช้ยานี้ร้อยละ 35 เพราะจำกัดด้วยราคายา ส่วนยา Pregabalin จะลดผลข้างเคียงจากยา Gabapentin ได้ดี


4. ยาคลายเครียด เป็นยาออกฤทธิ์ระงับประสาท ทำให้คนไข้นอนหลับได้ หรือพักผ่อนคลาย ในยาบางชนิดมียาช่วยระงับปวดร่วมด้วย


การรักษาด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัด (Physical modality) (15) ช่วยทำให้อาการปวดตึงเกร็งเมื่อยล้าในกล้ามเนื้อนั้นดีขึ้นประกอบด้วย


 1. แผ่นประคบความร้อนและเย็น (Heat and cold pack) เป็นการประคบโดยใช้ความร้อนหรือเย็นเพื่อระงับอาการปวด


2. เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (TENS) เป็นการใช้เครื่องมือที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วเพื่อกระตุ้นกระแสประสาทเพื่อลดอาการปวด ตามทฤษฎี Gate control theory


3. เครื่องความร้อนอัลตราซาวน์ (Ultrasound diathermy) เป็นเครื่องมือที่เป็นความร้อนลึก (deep heat) เป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวน์ ส่งความร้อนผ่านเจลที่เป็นตัวนำลงไปในเนื้อเยื่อชั้นลึกถึงเอ็นกล้ามเนื้อทำให้ลดอาการปวด อักเสบได้เร็วขึ้น


4. เครื่องความร้อนคลื่นสั้น (Shortwave diathermy) เป็นเครื่องมือที่เป็นความร้อนลึกลงไปในชั้นเนื้อเยื่อ (soft tissue) ที่มีอาการปวดการอักเสบ


 5. เครื่องเลเซอร์ (Laser) เป็นเแสงเลเซอร์ที่เป็นความร้อนลึกลงไปในชั้นเนื้อเยื่อ (soft tissue) ที่มีการอักเสบ


 6. เครื่องช็อคเวฟ (Shock wave) เป็นเครื่องมือที่เป็นคลื่นกระแทกใช้การยิงบนชั้นเนื้อเยื่อ (soft tissue) ลงไปลึกถึงเอ็น กล้ามเนื้อ ซึ่งหลักการของคลื่นกระแทก คือ ทำให้เกิดการซ่อมสร้างใหม่ของเนื้อเยื่อบริเวณที่ยิงคลื่นกระแทกลงไป


  7. คลื่นวิทยุ (Targeted radiofrequency therapy) เป็นเครื่องมือที่เป็นความร้อนลึก (deบทคัดย่อ


    กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมพบได้บ่อยในบุคลากรที่นั่งปฏิบัติงานอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ หรือนั่งนานผิดท่า ส่วนใหญ่จะมาด้วยอาการปวดตึงเมื่อยล้าในกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า สะบัก หรืออาจจะมีอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติร่วมด้วย เช่น มีเหงื่อออก ผิวหนังเย็นซีด สำหรับกำลังพลกองทัพอากาศที่มีประวัตินั่งโต๊ะทำงานเอกสารวันละหลายชั่วโมงมีโอกาสเกิดอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอ บ่า สะบัก จากกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งถือว่าเป็นภัยเงียบอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณภาพในการใช้ชีวิตประจำวันของกำลังพลกองทัพอากาศเสียไป เช่น มีอาการนอนไม่หลับ เครียด วิตกกังวลร่วมด้วย บางคนต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการปวด ทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติงาน หรืออาจจะต้องขออนุญาตลาป่วยเนื่องจากมีอาการปวดในระดับรุนแรง ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ


งานวิจัยนี้มุ่งเน้นในการศึกษาเหตุปัจจัยในการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม แนวทางในการป้องกันและการดูแลรักษาตนเองในเบื้องต้นก่อนมาพบแพทย์ ด้วยการศึกษาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิ เพื่อนำมาวิเคราะห์แนวทางการป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศแบบองค์รวม โดยเน้นให้กำลังพลกองทัพอากาศทุกคนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง


ซึ่งผลการวิจัยพบว่าการป้องกันการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด โดยเรียนรู้ในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องเหมาะสม จัดโต๊ะ เก้าอี้ให้ถูกสรีระร่างกายของแต่ละบุคคล ลุกเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ ทุก 1 ชั่วโมง ซี่งควรทำการบริหารกล้ามเนื้อและออกกำลังกายให้ถูกวิธี ควรเรียนรู้แนวทางดูแลรักษาอาการปวดเบื้องต้นก่อนมาพบแพทย์ ซึ่งถ้ากำลังพลกองทัพอากาศสามารถเรียนรู้วิธีการป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมแบบองค์รวมโดยเน้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจร่วมด้วยจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวัน


บทสรุปของงานวิจัยจากการอ้างอิงการวิจัยเอกสารให้เป็นข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเพื่อจัดทำเป็นข้อควรปฏิบัติ หรือคู่มือการปฏิบัติงานของกำลังพลกองทัพอากาศในการปฏิบัติงานต่อไป และเพื่อต่อยอดไปใช้กับบุคลากรอื่น ๆ ภายนอกกองทัพอากาศที่ต้องนั่งปฏิบัติงานนาน ๆ หรือนั่งนานผิดท่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) จะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดียิ่งขึ้น

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
จิริวิภากร ส. (2022). การป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศแบบองค์รวม. แพทยสารทหารอากาศ, 68(1), 40–48. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/rtafmg/article/view/255568
ประเภทบทความ
บทความฟื้นฟูวิชาการ

เอกสารอ้างอิง

saowalak pisitpaiboon, เผย 3 อาการสุดฮิตวัยทำงาน {Online}, 25 ส.ค.2558). :https://www.

thaihealth.or.th/content

กองเวชศาสตร์ฟื้นฟู, โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ สถิติผู้มารับการตรวจ

ห้องตรวจผู้ป่วยนอก. 2564.

Stanos SP, Tyburski MD, Harden RN. Braddom’s Physical Medicine and Rehabilitation. 6th ed. 2020. p 748.

กระทรวงสาธารณสุข. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข),

หน้า 23-28.

Pain Away Clinic, พยาธิสรีระของจุดกดเจ็บ. {Online}, 8 เม.ย.2561. : https://www. painawayclinic.com

เจตนา เรืองประทีป, การบาดเจ็บของเซลล์. กรุงเทพฯ, 2562.

ชนนิษฏ์ ลิ่มสกุล. Myofascial pain syndrome. {Online}, : meded.psu.ac.th

Frontera WR, Delisa JA, Gans BM. Robinson RL. Delisa’s Physical Medicine and Rehabilitation: Principles and

Practice 6th Ed. 2019:1301-2.

จันทณี นิลเลิศ. การนั่งตามหลักการยศาสตร์ เวชบันทึกศิริราช. 2560.

การยศาสตร์ (Ergonomics). {Online}, : old-bkook.ru.ac.th/e-book/h/HA233/chapter3.pdf, 31-43.

สมรรถภาพทางกาย (Physical Fitness). {Online}, : blog.bru.ac.th, 45-73.

พญ.จีระนันท์ ระพิพงษ์. การออกกำลังกายเพื่อการบำบัดรักษา (Therapeutic exercise) ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. {Online}, : https://w1.med.cmu.ac.th/rehab/images/Study_guide/; 10-21.

สมาคมการศึกษาเรื่องความปวดแห่งประเทศไทย. แนวทางพัฒนาการระงับปวดเฉียบพลัน 2552 ฉบับที่ 1

พิมพ์ครั้งที่ 1. 17-19.

Chaudakshetrin P. A survey of patients with neuropathic pain at Siriraj pain clinic. J Med Assoc Thai

;89:358-9.

ปรัชญพร คำเมืองลือ. เครื่องมือทางกายภาพบำบัด (Physical modality). เชียงใหม่.

สายพิณ หัตถีรัตน์. หลักการประเมินสุขภาพองค์รวมในเวชปฏิบัติปฐมภูมิ (Holistic approach in primary care). {Online},

: https://med.mahidol.ac.th