การดูแลรักษาและระยะเวลาในการตรวจติดตามด้วยเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ ที่เหมาะสมในผู้ป่วยอุบัติเหตุที่ได้รับบาดเจ็บที่ตับระดับรุนแรง
Main Article Content
บทคัดย่อ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา : ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับระยะเวลาและอัตราการฟื้นตัวของตับที่ได้รับการ บาดเจ็บระดับรุนแรงจากอุบัติเหตุ โดยที่ภาวะแทรกซ้อนของการบาดเจ็บของตับที่รักษาไม่หายจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ของผู้ป่วย
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาผลลัพธ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของการบาดเจ็บของตับจากอุบัติเหตุในระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้งในกลุ่มอาการการบาดเจ็บระดับน้อยและระดับรุนแรงตามมาตรฐานของ American Association for Surgery of Trauma (AAST)
วิธีดำเนินการวิจัย : ทำการทบทวนเวชระเบียนในผู้ป่วยอุบัติเหตุที่ได้รับการบาดเจ็บที่ตับทั้งหมดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึง 31 ธันวาคม 2562 และติดตามผลการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง (CT) ภายใน 4 สัปดาห์หลังจากได้รับบาดเจ็บ ข้อมูลผู้ป่วยที่เก็บ ได้แก่ อายุ เพศ ค่าความเข้มข้นเลือด (hematocrit) ค่าการ ทำงานของตับ ค่าความคงที่ของระบบไหลเวียนโลหิต กลไกการบาดเจ็บ การผ่าตัด ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลและใน หออภิบาลผู้ป่วยหนัก และและระยะเวลาในการตรวจติดตาม CT scan โดยผู้ป่วยได้ถูกจำแนกเป็นการบาดเจ็บของตับระดับ รุนแรง (เกรด IV-V) และการบาดเจ็บของตับระดับน้อย (เกรด I-III) โดยได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ระหว่างกลุ่ม โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ p<0.05)
ผลการวิจัย : มีผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ตับเข้าร่วมงานวิจัยทั้งสิ้น 126 ราย ในจำนวนนี้ 54 ราย (ร้อยละ 43) มีอาการบาดเจ็บ ที่ตับระดับรุนแรง และ 72 ราย (ร้อยละ 57) มีอาการบาดเจ็บระดับน้อย โดยรวมแล้ว 68 ราย (ร้อยละ 54) หายจากอาการ บาดเจ็บที่ตับ การตรวจ CT ที่ 4 สัปดาห์ พบการฟื้นตัวของการบาดเจ็บ ร้อยละ 7 ในกลุ่มที่มีการบาดเจ็บระดับรุนแรง เทียบกับ ร้อยละ 89 ในการบาดเจ็บระดับน้อย (p-value <0.001) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลการฟื้นตัวของตับ ได้แก่ กลไกการบาดเจ็บที่เกิด จากการกระทบกระแทก (95 %CI = 1.29-17.48), ค่าความเข้มข้นเลือดแรกรับที่ปกติ (95 %CI = 1.21-10.94) และการที่ไม่ได้รับการผ่าตัดตับ (95 %CI = 0.99-5.22)
สรุป : การตรวจ CT scan เป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการประเมินการรักษาอาการบาดเจ็บของตับ โดยอัตราการฟื้นตัวของการบาดเจ็บระดับรุนแรงที่ 4 สัปดาห์อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ และการให้เลือดในระยะแรกที่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลอาจช่วยส่งเสริมการ ฟื้นตัวของตับ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพฺเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร
เอกสารอ้างอิง
Melloul E, Denys A, Demartines N. Management of severe blunt hepatic injury in the era of computed tomography and transarterial embolization: A systematic review and critical appraisal of the literature. J Trauma Acute Care Surg. Sep 2015;79(3):468-74. doi:10.1097/ta.0000000000000724
Afifi I, Abayazeed S, El-Menyar A, Abdelrahman H, Peralta R, Al-Thani H. Blunt liver trauma: a descriptive analysis from a level I trauma center. BMC Surg. Jun 19 2018;18(1):42. doi:10.1186/s12893-018-0369-4
Croce MA, Fabian TC, Kudsk KA, et al. AAST organ injury scale: correlation of CT-graded liver injuries and operative findings. J Trauma. Jun 1991;31(6):806-12.
Kozar RA, Crandall M, Shanmuganathan K, et al. Organ injury scaling 2018 update: Spleen, liver, and kidney. J Trauma Acute Care Surg. Dec 2018;85(6):1119-1122. doi:10.1097/ta.0000000000002058
Alghamdi HM. Management of Liver Trauma. Saudi J Med Med Sci. May-Aug 2017;5(2):104-109. doi:10.4103/1658-631x.204868
Coccolini F, Catena F, Moore EE, et al. WSES classification and guidelines for liver trauma. World J Emerg Surg. 2016;11:50. doi:10.1186/s13017-016-0105-2
Galvagno SM, Jr., Nahmias JT, Young DA. Advanced Trauma Life Support(®) Update 2019: Management and Applications for Adults and Special Populations. Anesthesiol Clin. Mar 2019;37(1):13-32. doi:10.1016/j.anclin.2018.09.009