การพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์สามมิติด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม: หลักการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดสองค่าพลังงาน
คำสำคัญ:
เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม, สื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์สามมิติ, เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดสองค่าพลังงานบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์สามมิติด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมาเป็นสื่อสำหรับการเรียนการสอน เรื่อง หลักการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดสองค่าพลังงานพัฒนาด้วยโปรแกรม Unity 3D ซึ่งกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษารังสีเทคนิคชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 28 คน ซึ่งถูกคัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า ผลการประเมินสื่อการเรียนรู้ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ ค่าความตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.97, ผลประเมินการยอมรับวัตกรรมและเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 ± 0.57 และผลประเมินความเหมาะสมด้านเนื้อหาและสื่อ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 ± 0.55 ซึ่งผลการประเมินจากทั้ง 3 ฉบับเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดและได้รับการยอมรับนวัตกรรมจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้สื่อการเรียนรู้ของนักศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.68 ± 1.83 สูงกว่าก่อนเรียนที่ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.50 ± 2.72 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการเรียนรู้ของนักศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ± 0.76 และผลประเมินการยอมรับวัตกรรมและเทคโนโลยีของนักศึกษามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.78 ± 0.44 การพัฒนาสื่อการเรียนรู้นี้ ทำให้นักศึกษารังสีเทคนิคเห็นภาพรายละเอียดในรูปแบบสามมิติและเกิดความเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดสองค่าพลังงานมากยิ่งขึ้น
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Akçayır, Murat, et al. “Augmented reality in science laboratories: The effects of augmented reality on university students’ laboratory skills and attitudes toward science laboratories.” Computers in Human Behavior 57 (2016): 334-342.
Ibáñez, María Blanca, et al. “Experimenting with electromagnetism using augmented reality: Impact on flow student experience and educational effectiveness.” Computers & Education 71 (2014): 1-13.
พรวิภา นาบํารุง. “การพัฒนาสื่อการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีความจริงเสมือนเรื่องการสร้างนิทานโดย โปรแกรม Scratch ร่วมกับการพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสร้าง องค์ความรู้สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโคกก่อ พิทยาคม อําเภอเมือง จังหวัด มหาสารคาม องค์การ บริหาร ส่วน จังหวัด มหาสารคาม.” วารสารศึกษาศาสตร์ ปริทัศน์ 35.1 (2020): 57-63.
Kim, Sung Lae, et al. “Using Unity 3D to facilitate mobile augmented reality game development.” 2014 IEEE World Forum on Internet of Things (WF-IoT). IEEE, 2014.
AR development in Unity. 2019. Available from: https://docs.unity3d.com/Manual/index.html
Grahn, Ivar. “The uforia sdk and unity3d game engine: Evaluating performance on android devices.” (2017).
Vuforia Engine : https://library.vuforia.com/articles/Training/getting-started-with-vuforia-in-unity.html
อุไรวรรณ ชัยชนะวิโรจน์และ ชญาภา วันทุม. การทดสอบความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือวิจัย Evaluation of Content Validity for Research Instrument. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ 2560;2:105-11.
Tella, Adeyinka, and Gbola Olasina. “Predicting users’ continuance intention toward e-payment system: An extension of the technology acceptance model.” International Journal of Information Systems and Social Change (IJISSC) 5.1 (2014): 47-67.
Nuanmeesri S. The Augmented Reality for Teaching Thai Students about the Human Heart. International Journal of Emerging Technologies in Learning (iJET) 2018;6:203-213.
พรทิพย์ ปริยวาทิต, and วิชัย นภา พงศ์. "ผลของการใช้ บทเรียน Augmented Reality Code เรื่องคำ ศัพท์ภาษาจีนพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๒ วัด ตานีนร สโมสร." วารสาร วิทย บริการ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์. Academic Services Journal, Prince of Songkla University 27.1 (2016): 9-17.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 สมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย (The Thai Society of Radiological Technologists)
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทยและบุคคลากรท่านอื่น ๆในสมาคม ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว

