รูปแบบกิจกรรมการสร้างแรงจูงใจและแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริม สตรีกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพียเภ้า อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
คำสำคัญ:
โรคมะเร็งปากมดลูก, กิจกรรมการสร้างแรงจูงใจและแรงสนับสนุนทางสังคม, การตรวจมะเร็งปากมดลูกบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของสตรีกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมการสร้างแรงจูงใจและแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมสตรีกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก นำรูปแบบการจัดกิจกรรมการสร้างแรงจูงใจและแรงสนับสนุน ทางสังคมเพื่อส่งเสริมสตรีกลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลุกไปใช้กับสตรีกลุ่มทดลองและ เปรียบเทียบความรู้ ความเข้าใจโรคมะเร็งปากมดลูก การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ผลดีของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสตรีกลุ่มเสี่ยง ก่อนและหลังการทดลองดำเนินการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในปี พ.ศ.2558 ที่มีภูมิลำเนา อยู่ในหมู่ที่ 1 บ้านท่าข้องเหล็กตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 30 คนเป็นกลุ่มทดลองและสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ใน ปี พ.ศ. 2558 ที่มีถูมิลำเนาอยู่ในหมู่ที่ 10 บ้านคำนางรวย ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 30 คน เป็นกลุ่มควบคุมโดยกลุ่มทดลองเข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบ เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1.แบบสอบถาม 2.รูปแบบการจัดกิจกรรม 3.คู่มือการปฏิบัติตนของสตรีกลุ่มเสี่ยงเพื่อต้านภัยมะเร็งปากมดลูก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t ผลการวิจัย พบว่า 1. สตรีกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก สูวกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมและสูงกว่าสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม 2. สตรีกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบมีการรับรู้ด้านโอกาสเสี่ยง ความรุนแรงของ โรคมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมและสูงกว่าสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม 3. สตรีกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมกิจกรรมตามรูปแบบมีการรับรู้ผลดีของการมารับบริการตรวจมะเร็งปากมดลูก สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมกิจกรรมและสูงกว่าสตรีกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม
เอกสารอ้างอิง
จงกล ศักดิ์ตระกูล. (2543). การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคในการส่งเสริมพฤติกรรมการตรวจเต้านมด้วยตนเองของสตรีผู้ใหญ่ตอนต้นอำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล.
ธิดารัตน์ พลแสน. (2550). แรงสนับสนุนจากสามีเพื่อส่งเสริมการมารับการตรวจมะเร็งปากมดลูกในเขตสถานีอนามัยบ้านเหล่าหลวงอำเภอนิคมคาสร้อยจังหวัดมุกดาหาร. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ธีรวุฒิ คูหะเปรมะและคณะ. (2548). การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธี PAP SMEAR. กรุงเทพฯ : บริษัทสยามออฟเซ็ท.
เนื้อทิพย์ ศรีอุดร. (2550). การประยุกต์ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคและแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมให้สตรีรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในเขตสถานีอนามัยสร้างติว อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
บุญชม ศรีสะอาด. (2545). รายงานการวิจัยเรื่อง รูปแบบการควบคุมวิทยานิพนธ์. มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ์.
ศิริกาญจน์ ชีวเรืองโรจน์. (2550). การประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมและการจัดการคุณภาพต่อการมาตรวจมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุ 35-60 ปี ในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม.วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. (2548). การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธี PAP SMEAR. กรุงเทพฯ : กระทรวงสาธารณสุขสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
อริญชยา สุนทรธัย. (2554). การประยุกต์ใช้ทฤษฎีแรงจูงใจเพื่อป้องกันโรคร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีในเขตรับผิดชอบตำบลบุฤาษี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
Bandura, A. (1977). “Self-Efficacy : Toward Unifying Theory of Behavioral Change Psychological,” Psychological. 4 (25) : 191 – 215,
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น