การพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต ในโรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี

ผู้แต่ง

  • จักรพงศ์ ปิติโชคโภคินท์ โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
  • พัชรี อมรสิน โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
  • สุกัญญา สระแสง โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี
  • สายชล ชิณกธรร โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี

คำสำคัญ:

รูปแบบ, การส่งต่อ, ผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต

บทคัดย่อ

โรงพยาบาลชุมชนนาตาลอยู่ห่างโรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ 105 กิโลเมตร รูปแบบการส่งต่อที่ใช้คือแบบขั้นสูงและแบบพื้นฐาน ข้อมูลการส่งต่อปี 2558-2559 ส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต 432 และ400 ราย คุณภาพการดูแลผ่านเกณฑ์ร้อยละ 87.31 และ 92.5 (มาตรฐานมากกว่าร้อยละ 98) พบอุบัติการณ์เสียชีวิตระหว่างส่งต่อ 3 ราย เมื่อทบทวนพบว่ารูปแบบการส่งต่อไม่มีแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤตขณะส่งต่ออย่างชัดเจน ส่งผลให้ปฏิบัติได้ไม่ถูกต้องและยังไม่ครอบคลุม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤตขึ้นจากหลักฐานเชิงประจักษ์มาเป็นแนวทางการพัฒนาและนำมาใช้ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต โรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลฯ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยประยุกต์ใช้แนวคิดของ Stetler Model กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจงคือพยาบาลวิชาชีพ เวชกิจฉุกเฉิน รวม 30 คน ระยะเวลาศึกษาเดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม 2560 เครื่องมือ
1. แบบประเมินตามเกณฑ์คุณภาพการส่งต่อผู้ป่วย 2. แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการต่อรูปแบบ 3.แบบประเมินความเป็นไปได้และความเหมาะสมของรูปแบบ ซึ่งตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่านและได้ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟ่าเท่ากับ 0.85 ใช้สถิติเชิงพรรณนาและใช้สถิติเชิงอนุมานสำหรับเปรียบเทียบผลต่างค่าเฉลี่ยคะแนนของความรู้และทักษะระหว่างก่อนและหลังโดยใช้สถิติทดสอบที (Paired t-test) ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content  analysis) 

ผลการศึกษาพบว่ามีการพัฒนาผ่านกระบวนการ 2 วงจร ได้รูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤตเป็นรูปแบบไอชียูเคลื่อนที่(Mobile ICU)โดยรูปแบบประกอบด้วย (1) การฝึกอบรมเพิ่มความรู้และทักษะพยาบาลส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต (2) กำหนดทีม Mobile ICU (3)กำหนดข้อบ่งชี้ที่ต้องใช้รถและพยาบาล (4)จัดอุปกรณ์และรถให้เพียงพอพร้อมใช้มีอุปกรณ์ติดตามสัญญาณชีพแบบ Real Time Telemedicine (5) จัดทำมาตรฐานต่างๆและตั้งศูนย์ส่งต่อ (6) กำหนดขั้นตอนส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต 3 ระยะคือ 1) การดูแลก่อนการส่งต่อ 2) การดูแลระหว่างส่งต่อ 3)การจัดการหลังส่งต่อ หลังพัฒนาได้นำรูปแบบไปใช้กับการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤตทั้งหมด 450 ราย พบว่าการส่งต่อที่มีการดูแลเหมาะสมตามมาตรฐานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 92.5
เป็นร้อยละ 98.50 มีทีมพยาบาลผ่านการฝึกการดูแลผู้ป่วยวิกฤตให้การดูแลและส่งต่อผู้ป่วยปลอดภัยไม่พบอุบัติการณ์การเสียชีวิต บุคลากรและญาติมีความพึงพอใจต่อรูปแบบร้อยละ 93.33 เมื่อเปรียบเทียบผลต่างค่าคะแนนเฉลี่ยของความรู้และทักษะการปฏิบัติการส่งต่อก่อนและหลังการพัฒนา พบว่ามีค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้และทักษะหลังการพัฒนามากกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีการนำไปใช้ในโรงพยาบาลชุมชนจังหวัดอุบลฯอีก 4 แห่งและปรับใช้ในระบบส่งต่อของรพ.สต.อำเภอนาตาล ข้อเสนอแนะควรพัฒนาแนวทางการรักษาและการดูแลผู้ป่วยวิกฤตเฉพาะรายโรคเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลและมีผลลัพธ์คุณภาพที่ดีขึ้นต่อไป

เอกสารอ้างอิง

Accident-Emergency Department Natal Hospital. (2016). Annual Report 2016. Ubon Ratchathani: Accident-Emergency.

Atherton, J. S. (2013). Learning and Teaching; Experiential Learning [On-line: UK] ;. [Retrieved September 3,2016]. Retrieved form http: //www.learningandteaching.info/learning /experience.htm .

Danudade Chamchuri. (2016). Role and Performance of emergency nurses in advancing into the ASEAN community. [Retrieved September 2 ,]. Retrieved form https://www.bcn.ac.th/web/2011/Attachment/.

ICU Hub Center Sunpasitthiprasong Hospital. (2016). Annual Report Outcome of referral for ICU Hub Center. Ubon Ratchathani : ICU Hub Center Sunpasitthiprasong Hospital.

Institute of Hospital Quality Certification (Public Organization). (2015). Hospital Standard & Health Services Royal Thai Chakri Dynasty 60th Anniversary Edition. Bangkok: Deonebook Company Limited.

Kemmis, S., & McTaggart, R. (1988). The action research planner. 3rd ed. Victoria, Australia: Deakin University Press.

Kemmis, S., McTaggart, R., & Retallick, J. (2004). The action research planner. 2nded. Revised. Aga Khan University, Institute for Educational Development, Karachi.

Nantiya Rattanasakul and Krittaya Dangsuwan. (2016). Development of Caring System for Patient with Life-threatening in Emergency Department, Naradhiwasrajanakrindra Hospital. Journal of Naradhiwasrajanakrindra University. 8(2): 2-15.

National Institute of Emergency Medicine. (2014). Emergency Operations for Interfaculty Emergency Patient Transfer. Bangkok : Alimate Printing Co., Ltd.

Sankar, M., Bailey, R., & Williams, B. (2005). Doing action research. Community Eco-nomic Development Action Research (CEDAR) Project . New Zealand : Department of Labour.

So, S.N., Ong, C.W., Wong, L.Y., Chung, J..M., & Graham, C.A. (2015). Is the Modified Early Warning Score able to enhance clinical observation to detect deteriorating patients earlier in an Accident at Emergency Department?. Australasian Emergency Nursing Journal, 18:24-32 .

Stetler, C.B. (2010) .Chapter 3: Stetler Model. In J. Rycroft-Malone & T. Bucknall (Eds.) Evidence-based Practice Series. Models and frameworks for implementing evidence-based practice: Linking evidence to action. Oxford: Wiley-Blackwell.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-08-26

รูปแบบการอ้างอิง

ปิติโชคโภคินท์ จ. . ., อมรสิน พ. ., สระแสง ส. ., & ชิณกธรร ส. . (2019). การพัฒนารูปแบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินที่มีภาวะวิกฤต ในโรงพยาบาลนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 8(1), 110–122. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/211530

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ