Antimicrobial using behaviors: case study of Ban Kang Pla population, Chaiyapruek Sub-district, Mueang District, Loei Province
Keywords:
Behaviors of antimicrobial, antimicrobial, populationsAbstract
The purpose of this research were (1) to study the behavior of antimicrobial drug usage and (2) to analyze the relationship between personal factors and knowledge with behavior of antimicrobial drug usage. Total sample consist of 342 persons in Ban Kwang Pla, Chaiyaphruek Sub-district, Mueang District, Loei Province. The instrument of this research were questionnaires. Personal factors, knowledge and behavior of antimicrobial drug usage were analyzed by using descriptive statistics. An analysis on the relationship of age, sex, occupation, education, marital status, family income per month and knowledge relating to behavior on antimicrobial drug usage by using Chi-square and Pearson's Product Moment Correlation.
The result showed that 36% of sample used antimicrobial drug for treatment pharyngitis and tonsillitis. 45.9% of the sample had knowledge about antimicrobial drug usage at moderate level. 57.3% of the sample had antimicrobial drug usage behavior at moderate level. Occupation had statistically significant relationship with antimicrobial drug usage behavior (c2 =33.865, p<0.05). Age and family income per month had negative statistically significant relationship with antimicrobial drug usage behavior (r = -1.198, -1.299, p<0.05). Knowledge had positive statistically significant relationship with antimicrobial drug usage behavior (r = 0.246, p<0.05) Sex, education and marital status had not relationship with antimicrobial drug usage behavior.
The finding indicates that knowledge had positive statistically significant relationship with antimicrobial drug usage behavior. Thus providing knowledge regarding rational use of antimicrobial drug should be encouraged for people to prevent the problem inappropriate use of antimicrobial drug.
References
คุณากร ปาปะขา และ วงศา เล้าหศิริวงศ์. (2561). สถานการณ์ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้ยาปฏิชีวนะของกลุ่มวัยแรงงานในจังหวัดมหาสารคาม. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ. 34(2), 13-22.
จิรชัย มงคลชัยภักดิ์, จิรวัฒน์ รวมสุข และเอมอร ชัยประทีป. (2555). การศึกษาความรู้และพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะของผู้รับบริการ ในร้านยาชุมชนจังหวัดปทุมธานี. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชีย. 6(2), 91-100.
เจตนิพิฐ สมมาตย์ และพิมพ์ศิริ อุยวัฒนกุล. (2559). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจังหวัดขอนแก่น. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน. 12(1), 25-33.
ณัฐวรรณ สุวรรณ และอัจฉราพร ศรีภูษณาพรรณ. (2547). รายงานการวิจัย เรื่อง ความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาต้านจุลชีพของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
นัชชา ยันติ. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์). 7(2), 57-66.
บุญชม ศรีสะอาด. (2538). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
พิสนธิ์ จงตระกูล. (2554). แนวทางการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
พรรณรวี โพธิ์เทียนทอง. (2559). Antimicrobial resistance: a global concern. วารสารเพื่อการวิจัยและการพัฒนาองค์การเภสัชกรรม. 23(3), 9-12.
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก้างปลา. (2560). สถิติการใช้ยาต้านจุลชีพของประชาชนหมู่บ้านก้างปลา ตำบลชัยพฤกษ์ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ประจำปี 2560. เลย: โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้างปลา.
วิลาวัณย์ อุ่นเรือน และ ดลวิวัฒน์ แสนโสม. (2558). พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในอาการ เจ็บคอ บาดแผลสะอาด ท้องร่วง. วารสารวิจัยสถาบันมหาวิทยาลัยขอนแก่น. 3(3), 221-232.
ศุภลักษณ์ สุขไพบูลย์, ชุภาศิริ อภินันท์เดชา และกวี ไชยศิริ. (2559). พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของ ผู้รับบริการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสร่างโศก อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี. การประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ 3 ก้าวสู่ทศวรรษที่ 2: บูรณาการงานวิจัย ใช้องค์ความรู้ สู่ความยั่งยืน”, หน้า 409 – 416. 17 มิถุนายน 2559. วิทยาลัยนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา.
สุณิชา ชานวาทิก, อังคณา เลขะกุล, วุฒิพันธุ์ วงษ์มงคล, วลัยพร พัชรนฤมล, อภิชาติ ธัญญาหาร และวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร. (2561). สถานการณ์การใช้ยาต้านจุลชีพและความรู้เรื่องยาต้านจุลชีพ: ข้อมูลจากการสำรวจอนามัยและสวัสดิการ พ.ศ. 2560. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข. 12(3), 420-436.
สุวัฒน์ ปริสุทธิวุฒิพร และ มัณฑนา เหมชะญาติ. (2557). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของผู้รับบริการในโรงพยาบาลขลุง จังหวัดจันทบุรี. วารสารศูนย์การศึกษาแพทย์คลินิกโรงพยาบาลพระปกเหล้า. 31(2), 114-127.
Bull World Health Organ. (2016). United Nations meeting on antimicrobial resistance. [online]. Available from:https://www.who.int/bulletin/volumes/94/9/16-020916.pdf/ doi: 10.2471/BLT.16.020916. [cited 10 November, 2017]
Health Systems Research Institute and Coordination and Integration Committee on Antimicrobial Resistance. (2017). Thailand national strategic plan on antimicrobial resistance 2017-2021. [online]. Available from: http://narst.dmsc.moph.go.th/documentation/AMR%20strategy%202560-2564.pdf. [cited 10 November, 2017]
Jonas, O.B., Irwin, A., Berthe, F. C. J., Le Gall, F. G., & Marquez, P.V. (2017). Drug-resistant infections: a threat to our economic future. Executive summary. Washington: International Bank for Reconstruction and Development/the World Bank; Report No.114679.
Review on antimicrobial resistance. (2014). Antimicrobial resistance: tackling a crisis for the health and wealth of nations. [online]. Available from: https://amrreview.org/sites/default/files/AMR%20Review%20Paper%20%20Tackling% 20a%20crisis%20for%20the%20health%20and%20wealth%20of%20nations_1.pdf. [cited 10 November, 2017]
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น