Effectiveness of social support and good model in dental health promotion program on primary school students for dental caries prevention
Keywords:
Health behavior program, dental caries prevention, school age childrenAbstract
The purpose of quasi-experimental research was to study Effectiveness of social support and good model in dental health promotion program on primary school students for dental caries prevention. The sample were 44 school age students selected by simple random sampling then divided 22 students to the experimental group and 22 students to the comparison group. The experimental group received dental caries preventive program for 12-weeks. Self - administered questionnaire and plaque index check list was employed for data collection before and after experiment. The data were analyzed by using percentage, mean, standard deviation, Paired t-test and Independent t - test. Significant level was at 0.05
The results revealed that the experimental group had improved significantly in Knowledge, Perceived Self- Efficacy, Preventive Practice than before the experimented of the program and improved significantly than the comparison groups. (p<0.05). And the student’s average plaque index in the experimental group was significantly decreased after implemented program (p<0.05) and significantly decreased than comparison group after implemented program.
In conclusion, social support and good model in dental health promotion program on primary school students for dental caries prevention, It could improve the prevention of dental caries and reduce plaque index in students.
References
กนิพันธุ์ ปานณรงค์และคณะ. (2559). “ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคฟันผุในเด็กนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดศรีสะเกษ,” วารสารการศึกษาและการพัฒนาสังคม, 12 (1), 58–68.
กิติศักดิ์ วาทโยธาและศิวิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร. (2562). “ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียนอายุ 12 ปี เขตพื้นที่อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร,” เชียงใหม่ทันตแพทยสาร. 40 (1), 81–96.
ณัฐนันท์ โกวิทวัฒนาและศิริพร ส่งศิริประดับบุญ. (2561). “ประสิทธิผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เขตหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร,” วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์. 68 (3), 279–287. https://doi.org/10.14456/jdat.2018.33
ณัฐวัฒน์ สุวคนธ์และปราโมทย์ วงศ์สวัสดิ์. (2561). “ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก,” วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 12 (2), 273–286.
ประภาพร คำหว่าง. (2560). “ประสิทธิผลของโปรแกรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพของนักเรียนประถมศึกษา ในอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน,” วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้. 4 (1), 235.
ไพบูลย์ กูลพิมาย. (2558). “โปรแกรมส่งเสริมทันตสุขภาพโดยบุคคลต้นแบบต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย อําเภอพระทองคํา จังหวัดนครราชสีมา,” วารสารการพยาบาลและสุขภาพ. 9 (3), 133–144.
สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย. (2561). รายงานผลการสำรวจ สภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ประเทศไทย พ.ศ. 2560. รายงานผลการสำรวจ สภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 8 ประเทศไทย พ.ศ. 2560, 330.
สิริลักษณ์ รสภิรมย์. (2556). “ประสิทธิผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีความสามารถตนเองที่มีต่อพฤติกรรม ทันตสุขภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม,” วารสารคณะพลศึกษา. 16(1), 145-157.
หยาดพิรุณ วังอโศก. (2560). “การศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมทันตสุขศึกษาต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็กนักเรียน,” Journal of Behavioral Science. 20 (2), 2560.
อนุรุท อินทวงค์. (2560). ความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติของเกษตรกรตามมาตรฐานข้าวอินทรีย์ส่งออกในภาคเหนือของประเทศไทย. ปริญญานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร์) สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและพัฒนาชนบท, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
Downloads
Published
How to Cite
Issue
Section
License
Copyright (c) 2022 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น