ปัจจัยทางจิต ปัจจัยทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุมุสลิม ในเขตชานเมืองตามลักษณะครอบครัว จังหวัดนครศรีธรรมราช
คำสำคัญ:
ปัจจัยทางจิต, ปัจจัยทางสังคม, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, ผู้สูงอายุมุสลิม, ลักษณะครอบครัวบทคัดย่อ
การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบความแตกต่างปัจจัยทางจิต ปัจจัยทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลตนเองตามลักษณะครอบครัวของผู้สูงอายุมุสลิมในเขตชานเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุมุสลิมในเขตชานเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 185 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลช่วงเดือนมีนาคม 2564 เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ ประกอบด้วย ข้อมูลลักษณะส่วนบุคคล ด้านปัจจัยทางจิต และการสนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพตนเองจากครอบครัว มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาช เท่ากับ 0.889 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Independent t-test
ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมุสลิมที่อาศัยอยู่ในครอบครัวเดี่ยวและขยายมีระดับปัจจัยทางจิต ปัจจัยทางสังคม และพฤติกรรมการดูแลตนเองในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับดี ยกเว้นด้านความเชื่ออำนาจภายใน-ภายนอก ที่อยู่ในระดับ
ปานกลาง เมื่อวิเคราะห์ความแตกต่าง พบว่า ปัจจัยการรับรู้ความสามารถของตนเอง การสนับสนุนจากครอบครัว และจากบุคลากรทางการแพทย์ของครอบครัวเดี่ยวมีการรับรู้ที่น้อยกว่าครอบครัวขยาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความเชื่ออำนาจภายใน-ภายนอก มีการรับรู้ที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ด้านเจคติครอบครัวเดี่ยวมีการรับรู้ที่มากกว่าครอบครัวขยาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และพฤติกรรมการดูแลตนเองไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ฉะนั้น ผู้สูงอายุมุสลิมที่อยู่กับครอบครัวขยายจะมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่ดีกว่า จึงควรส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ภาพที่ดีภายในครอบครัว และชุมชน โดยการเสริมสร้างความสามารถของตนเอง ความเชื่ออำนาจภายใน-ภายนอก และเจตคติที่ดี ให้สามารถจะดูแลตัวเอง และเกิดความมุ่งกระทำพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง แม้จะต้องอยู่เพียงลำพังโดยคำนึงถึงข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม
เอกสารอ้างอิง
กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. (2564). สถิติผู้สูงอายุ. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2565 จาก http://www.dop.go.th/th/know/1
ชุติเดช เจียนดอน, นวรัตน์ สุวรรณผ่อง, ฉวีวรรณ บุญสุยา และนวพร โหวธีระกุล. (2554). คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา. วารสารสาธารณสุขศาสตร์, 41(3), 229-239.
นิภารัตน์ จันทร์แสงรัตน์, อนงค์ ภิบาล, ทิพยวรรณ นิลทยา, จุรีย์ ธีรัชกุล และอุไร หัถกิจ. (2557). ความต้องการการส่งเสริมสุขภาพด้านจิตวิญญาณของผู้สูงอายุมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์.
เบญจมาศ นาควิจิตร. (2551). ปัจจัยทางจิตสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองและความสุขของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุของโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
มันโซร์ ดอเลาะ. (2559). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีศึกษา: ตำบลบาละ อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา.
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2559). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย 2559. กรุงเทพ ฯ: อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
วัลภา บูรณกลัศ. (2560). ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง สัมพันธภาพในครอบครัวกับความสุขของผู้สูงอายุในชุมชนแห่งหนึ่ง เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร. วารสารพยาบาลตำรวจ, 9(2), 24-32.
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. (2562). รายงานประจำปี 2562. มหาวิทยาลัยมหิดล. นครปฐม.
สำนักงานสถิติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม. (2561). รายงานการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ.2560. กรุงเทพมหานคร.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2562). สถิติผู้สูงอายุของประเทศไทย. กระทรวงมหาดไทย. กรุงเทพมหานคร
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช. (2562). รายงานประจำปี 2561. นครศรีธรรมราช.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2559). แผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข). กระทรวงสาธารณสุข; นนทบุรี.
สำเนาว์ ศรีงาม. (2559).พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุอำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย, 6(3), 217-224.
สุวิมลรัตน์ รอบรู้เจน. (2559). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุของผู้ดูแลผู้สูงอายุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารการพยาบาลการสาธารณสุขและการศึกษา, 17(2), 77-84.
ศิรินันท์ ตรีมงคลทิพย์ และอรทัย สารกุล. (2548). วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวไทยมุสลิม : มุมมองด้านสุขภาพ. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.
อิทธิพล ดวงจินดา, ชวนพิศ ศิริไพบูลย์ และศรีสุรางค์ เคหะนาค. (2564). การรับรู้ความสามารถของการดูแลตนเองและพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด-19 กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 14(4), 111-126.
อรชร โวทวี. (2548). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุในอำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาจิตวิทยาชุมชน, มหาวิทยาลัยศิลปากร.
Aldwin, M. C. & Glimer, F. D. (2004). Health, Illness and Optimal Aging: Biological and Psychosocial Perspectives. California: Kate Peterson.
Bandura, A. (1986). Social Foundations of Thought and Action : A Social Cognitive Theory.
Best, J.W. (1977). Research in Education. 3nded. Englewod cliffs: N.J. Prentice-Hall
Cohen, S., & Syme, S. L. (1985). Social support and health. Orlando, FL: Academic Press.
Cox, C. B. (2005). Community Care for an Aging Society. Issues, Polices, and Services. New York: Springer Publishing Company. Inc.
Naing, L., Winn, T. & Rusli, B.N. (2006). Practical Issues in Calculating the Sample Size for Prevalence Studies. Medical Statistics. Archives of Orofacial Sciences, 1, 9-14.
Orem, D. E. (1985). Nursing: concepts of practice. (3nd ed.). New York: McGraw-hill.
Orem, D. (1991). Nursing: Concepts of practice. (4th ed.). St. Louis: Mosby Year Book.
Pender, N. J. (1996). Health promotion in nursing practice. 3rd ed. Stamford, Conn: Appleton and Lange. Englewood Cliffs. New Jersey: Prentice-Hall.
Schaefer, C., Coyne, J.C., & Lazarus, R. (1981). Health-related functions of social support. Journal of behavioural Medicine, 4(4), 381-401.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น