โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลของนักศึกษาคณะสาธารณสุขศาสตร์
คำสำคัญ:
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, ความตระหนัก, พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) แบบการศึกษาสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง (The Pretest–Posttest control group design) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลของนักศึกษาคณะสาธารณสุขศาสตร์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 ตัวอย่าง โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง (Experimental group) จำนวน 30 ตัวอย่าง และกลุ่มควบคุม (Control group) จำนวน 30 ตัวอย่าง ทดสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถามโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน และทดสอบความเที่ยงของแบบสอบถามแบบได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาช 0.92 ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย 12 สัปดาห์ โปรแกรมการทดลอง ประกอบด้วย กิจกรรมการเสริมสร้างความเข้าใจในข้อมูลและบริการสุขภาพ กิจกรรมการเสริมสร้างการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ กิจกรรมเสริมสร้างทักษะการสื่อสารเพื่อให้ได้ข้อมูลตามที่ต้องการ กิจกรรมการตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยการเรียนรู้โดยประสบการณ์หรือตัวแบบจากผู้อื่น กิจกรรมการจัดการตนเอง และกิจกรรมการเสนอทางเลือกให้ผู้อื่น (การบอกต่อ) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และสถิติเชิงวิเคราะห์ ใช้สถิติ Paired t–test เปรียบเทียบผลลัพธ์ภายในกลุ่ม และสถิติ Independent t–test เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มโดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)
ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มทดลอง ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนัก และพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะ ก่อน และหลังเข้าร่วมโปรแกรม มีคะแนนค่าเฉลี่ยความแตกต่างกัน (p-value<0.001) และคะแนนค่าเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความตระหนัก และพฤติกรรมการใช้ยาปฎิชีวนะของนักศึกษาคณะสาธารณสุขศาสตร์ของกลุ่มทดลอง มีคะแนนค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุมทุกด้าน และเมื่อทดสอบความแตกต่างด้วยสถิติ Independent t-test พบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t=8.68, df=58.00, p<0.001))
สรุป ผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผล สามารถนำไปใช้ในเป็นข้อมูลในการวางแผนส่งเสริมในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปได้
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข. (2560). แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข,
กองยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. (2563) .สถานการณ์การใช้ยาสมเหตุผลสภาพปัญหาและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2563.
กองสุขศึกษา. (2562). การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขและประชาชนกลุ่มวัยทำงาน. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข,
กองสุขศึกษา. (2564) แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ตาม 3อ.2ส. ของประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ฉบับปรับปรุงปี 2561. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2564. จากhttp://www.hed.go.th/linkHed/333.
กานนท์ อังคณาวิศัลย์. (2553). ความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุสมผลของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหิดล ปีการศึกษา 2554. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข, 6(3):374-81.
นัชชา ยันติ. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของนักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวไลยอลงกรณ์ปริทัศน์ (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์), 7(2), 57-66.
ปริญดา ไอศูรย์พิศาลกุล และฉัตรวดี กฤษณพันธุ์.(2557). การสํารวจความรู้ด้านยาและการปฏิบัติตัวในการใช้ยารักษาตนเองของนิสิตชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ว. เภสัชศาสตร์อีสาน, 10(1) : 42-55,
พัชรี ดวงจันทร์ และคณะ. (2560). ผลการรณรงค์โดยใช้ทีมผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสื่อกระแสหลักต่อแนวคิดและบรรทัดฐานทางสังคมเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข,11(4):481-499,
ศิริรัตน์ ธะประวัติ, ชุภาศิริ อภินันท์เดชา, และศิริวิทย์ หลิ่มโตประเสริฐ. (2021). ประสิทธิผลของโปรแกรมสร้างเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยการจัดการและเทคโนโลยีอีสเทิร์น, 18(2): 290-301,
ศุภลักษณ์ สุขไพบูลย์ และคณะ. พฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของผู้รับบริการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสร่างโศก อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี. Paper presented at the การประชุมวิชาการ.
สรัญญรักษ บุญมุสิก รุ่งนภา จันทรา ชุลีพร หีตอักษร. (2562). ความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลของพยาบาลเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและสาธารณสุขภาคใต้. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ,2(1),25-36,
อรรัตน์ หวั่งประดิษฐ์, รวีวรรณ ช่วยบำรุง, กรกฎ สินประจักษ์ผล และวนิดา ประเสริฐ. (2558). ผลการจัดชุดกิจกรรมการให้ความรู้เรื่องยาต่อความรู้และพฤติกรรม การใช้ยาของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน. วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา, 10(1):87-95,
Aya Mostafa, et al. Is Health Literacy associated with antibiotic use, knowledge and awareness of antimicrobial resistance among non-medical university students in Egypt? A cross-sectional study. BMJ Open. 11:e046453.doi:10.1136/bmjopen-2020-046453,2021.
Bandura, A. Self-efficacy: The exercise of control. New York: Freeman,1997.
DaviesDS, Verde ER. WISH Antimicrobial Resistance Report 2013. Antimicrobial resistance:In search of a collaborative solution. Al Rayon: World Innovation Summit for Health: 1-26,2013.
FlorianSalm, et al. Antibioticuse, knowledge and Health Literacy among the general Population in Berlin, Germany and its surrounding rural areas. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2564. อ้างอิงจากเว็ปไซร์ https://doi.org
Jim O’Neill. Review on antimicrobial resistance. Antimicrobial resistance: Tackling a crisis for the health and wealth of nations. Retrieved October 6, 2020 from: https://amr-review.org/sites/default/files.
Kandeel, A., et al. An educational intervention to promote appropriate antibiotic use for acute respiratory infections in a district in Egypt-pilot study. BMC Public Health,19(3), 498-508,2019.
Sornkrasetrin,A.,et al. Factors predictingthe rational antibiotic use among Nursing Students.The Journal of Baromarajonani College of Nusing, Nakhonratchasima, 25(1): 43-59,2019.
World Health Organization. New report calls for urgent action to avert antimicrobial resistance crisis. Retrieved October 6, 2020 from: https://www.who.int/news-room/detail/29-04-2019- new-report-calls-for-urgent-action-to-avert-antimicrobial-resistance-crisis.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น