แนวทางการจัดการตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ของชุมชนบ้านปากทอน อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช
คำสำคัญ:
แนวทางการจัดการตนเอง,, ปัจจัยเสี่ยง,, โรคเบาหวานบทคัดย่อ
โรคเบาหวานเป็นปัญหาสำ�คัญทางสาธารณสุขและมีอัตราป่วยเพิ่มขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก การค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงระยะก่อนเป็นโรคเบาหวานและจัดกิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงในระยะเริ่มต้น จะช่วยชะลอการเป็นโรคเบาหวานได้ การศึกษานี้เป็นการศึกษากึ่งทดลอง แบบ one group pre – post test design เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวทางการจัดการตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานที่พัฒนามาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ (1) การประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานและพฤติกรรมการจัดการตนเอง (2) การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การจัดการตนเองเพื่อลดปัจจัยสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และการฝึกทักษะการจัดการตนเองเพื่อลดปัจจัยสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน (3) การสนับสนุนการจัดการตนเองโดยการใช้แอปพลิเคชั่นไลน์กลุ่มเป็นประจำ�ทุกวัน และติดตามเยี่ยมบ้าน (4) การประเมินผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นำไปใช้กับกลุ่มเสี่ยงจำนวน 15 ราย ที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านปากทอน อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ประเมินผลจากค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกาย รอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Descriptive statistics, Wilcoxon matched pairs signed-rank test, and content analysis. พบว่า ค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกาย รอบเอว และระดับน้ำตาลในเลือด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01)ข้อเสนอแนะ การจัดการตนเองของกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานสามารถลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ ดังนั้นทีมสุขภาพจึงควรให้ความรู้และฝึกทักษะที่จำเป็น และควรติดตามสนับสนุนให้กลุ่มเสี่ยงสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตนเองได้ดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Munden J. Diabetes mellitus: a guide to patient care. The United States of America: Lippincott Williams & Wilkins; 2007.
วิชัย เอกพลากร, ภาวะสุขภาพ, ใน: วิชัย เอกพลากร, บรรณาธิการ. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2557. นนทบุรี: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน; 2559.133-195.
งานเวชระเบียน โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฉวาง. การจัดกลุ่มโรค: แฟ้มเวชระเบียน. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฉวาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช; 2559.
Khoury JC, Kleindorfer D, Alwell K, Moomaw CJ, Woo D, Adeoye O, et al. Diabetes mellitus: a risk factor for ischemic stroke in a large bi-racial population. Stroke 2013; 44:1500-4.
Koopmanschap M. Coping with type II diabetes: the patient’s perspective. Diabetologia 2002; 45:S18-22.
เนติมา คูนีย์. การทบทวนวรรณกรรม: สถานการณ์ปัจจุบันและรูปแบบการบริการด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. กรุงเทพฯ: บริษัท อาร์ต ควอทลิไฟท์ จำกัด; 2557.
ขนิษฐา พิศฉลาด และ ภาวดี วิมลพันธุ์. ผลของโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองต่อพฤติกรรม การจัดการตนเองดัชนีมวลกายและระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารของผู้ที่มีภาวะเสี่ยงระยะ ก่อนเบาหวานในชุมชน. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข 2560; 27:47-59.
นํ้าอ้อย ภักดีวงศ์ และ รัชนีกร ปล้องประภา. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรม สุขภาพ นํ้าหนัก ดัชนีมวลกายและเส้นรอบเอวของกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2. วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคะวันออกเฉียงเหนือ 2555; 30:40-47.
เมธินี แหล่งหล้าเลิศสกุล, นิรัตน์ อิมามี, มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์ และ ธราดล เก่งการพานิช. ปัจจัย ทำนายพฤติกรรมการดูแลตนเองด้านการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย ของกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวาน จังหวัดภูเก็ต. วารสารสาธารณสุขศาสตร์ 2556;43:55-67.
ธีรพล ผังดี, ณัฐกฤตา ศิริโสภณ, ประเสริฐศักดิ์กายนาคา, อลิสา นิติธรรม และ สายสมร เฉลยกิตติ. ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมพฤติกรรมการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2. วารสารพยาบาลทหารบก 2560;18 Suppl 1:291-298.