การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างครีมทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% และครีมเบส ในการรักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา

ผู้แต่ง

  • Kanawat Kanjanapiboon สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • Kowit Kampirapap สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
  • Bensachee Pattamadilok สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำสำคัญ:

โรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา, น้ำมันดิน, อนุพันธ์น้ำมันดิน, ไฮโดรคอร์ติโซน, ครีมเบส

บทคัดย่อ

ยาทาเป็นการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาที่มีระดับความรุนแรงน้อย พบว่ายาทาอนุพันธ์น้ำมันดินเป็นที่รู้จักและถูกใช้ในการรักษาผื่นสะเก็ดเงินมาอย่างยาวนาน แต่ยังมีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลและผลข้าง-เคียงของครีมทาอนุพันธ์น้ำมันดินและครีมเบส/ครีมทาสเตียรอยด์ค่อนข้างน้อย

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาประสิทธิผลและผลข้างเคียงของครีมทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% ในการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาโดยเปรียบเทียบกับครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% และครีมเบส

วิธีการรักษา: โครงการวิจัยแบ่งเป็นช่วงการรักษา 8 สัปดาห์และช่วงติดตามหลังการรักษา 4 สัปดาห์ โดยคัดเลือกผู้ป่วยโรคผิวหนังสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนาประเภทความรุนแรงน้อยจากแผนกผู้ป่วยนอกสถาบันโรคผิวหนัง ผู้ป่วยแต่ละคนจะได้ รับการคัดเลือกผื่น 3 ผื่นบนลำตัวหรือแขน ขาที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยแต่ละผื่นจะถูกสุ่มโดยแพทย์ว่าจะใช้ครีมอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% ครีมทาไฮโดรคอร์ติโซน 1% หรือครีมเบส วันละ 2 ครั้ง ติดตามผลโดยใช้คะแนนความแดง สะเก็ด และความหนา (ESI score) ของผื่นทุก 4 สัปดาห์ในช่วงการรักษา (สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 4 และ 8) และช่วงติดตามการรักษา (สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 12) และถ่ายรูปผื่นติดตามทุกครั้ง นอกจากนี้ผู้ป่วยทำการประเมินผลข้างเคียงของยาแต่ละชนิดในช่วงการรักษาและช่วงติด- ตามการรักษาด้วย

ผลการศึกษา: ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา 33 คน จาก 38 คน เข้าร่วมโครงการวิจัยครบ 12 สัปดาห์ พบว่าหลังการรักษา 8 สัปดาห์ กลุ่มที่ได้รับยาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% มีค่าเฉลี่ย ESI score ลดลง 53.97% กลุ่มที่ได้รับครีมทาไฮโดรคอร์ติโซน 1% มีค่าเฉลี่ย ESI score ลดลง 31.98% และกลุ่มที่ได้รับยาทาครีมเบสมีค่าเฉลี่ย ESI score ลดลง 16.88% ทุกกลุ่มมีค่าเฉลี่ย ESI score ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และกลุ่มยาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% มีเฉลี่ยลดลงกว่าอีกสองกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) นอกจากนี้หลังการรักษา 8 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% มีค่าเฉลี่ยขนาดของผื่นลดลง 13.07% แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.306) ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาทาไฮโดรคอร์ติโซน 1% มีค่าเฉลี่ยขนาดของผื่นเพิ่มขึ้น 37.75% และกลุ่มที่ได้รับยาทาครีมเบสมีค่าเฉลี่ยขนาดของผื่นเพิ่มขึ้น 73.57% ทั้งสองกลุ่มมีค่าเฉลี่ยขนาดของผื่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.006, p = 0.004 ตามลำดับ) ยาทาทั้ง 3 ตัวมีผลข้างเคียงเฉพาะที่คือการคัน ระคายเคืองโดยไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย ยาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% นั้นปลอดภัยแต่มีกลิ่นเหม็น เลอะเสื้อผ้า (12.12%) และอาจทิ้งรอยดำ (9.09%) บริเวณที่ทายาได้

สรุปผล: ยาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% เป็นทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับรักษาผื่นโรคผิวหนังสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา การศึกษานี้พบว่ายาทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% ทำให้ผื่นสะเก็ดเงินดีขึ้นกว่ายาทาไฮโดรคอร์ติโซน 1% และครีมเบสอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

เอกสารอ้างอิง

1.Farber EM, Nall ML. The natural history of psoriasis in 5,600 patients. Dermatologica 1974; 148: 1-18.

2.Fry L. Psoriasis. The Br J Dermatol 1988; 119: 445-61.

3.Kurd SK, Gelfand JM. The prevalence of previously diagnosed and undiagnosed psoriasis in US adults: results from NHANES 2003-2004. J Am Acad Dermatol 2009; 60: 218-24.

4.du Vivier A. Tachyphylaxis to topically applied steroids. Arch Dermatol 1976; 112: 1245-8.

5.Piérard GE, Piérard-Franchimont C, Ben Mosbah T, Arrese Estrada J. Adverse effects of topical corticosteroids. Acta Derm Venereol Suppl (Stockh) 1989; 151: 26-30; discussion 47-52.

6.Thawornchaisit P, Harncharoen K. A comparative study of tar and betamethasone valerate in chronic plaque psoriasis: a study in Thailand. J Med Assoc Thai 2007; 90: 1997-2002.

7.Tham SN, Lun KC, Cheong WK. A comparative study of calcipotriol ointment and tar in chronic plaque psoriasis. Br J Dermatol 1994; 131: 673-7.

8.Mason J, Mason AR, Cork MJ. Topical preparations for the treatment of psoriasis: a systematic review. Br J Dermatol 2002; 146: 351-64.

9.Kanzler MH, Gorsulowsky DC. Efficacy of topical 5% liquor carbonis detergens vs. its emollient base in the treatment of psoriasis. Br J Dermatol 1993; 129: 310-4.

10.Lowe NJ, Wortzman MS, Breeding J, Koudsi H, Taylor L. Coal tar phototherapy for psoriasis reevaluated: erythemogenic versus suberythemogenic ultraviolet with a tar extract in oil and crude coal tar. J Am Acad Dermatol 1983; 8: 781-9.

11.Williams RE, Tillman DM, White SI, Barnett EL, Mackie RM. Re-examining crude coal tar treatment for psoriasis. Br J Dermatol 1992; 126: 608-10.

12.Arbiser JL, Govindarajan B, Battle TE, et al. Carbazole is a naturally occurring inhibitor of angiogenesis and inflammation isolated from antipsoriatic coal tar. J Invest Dermatol 2006; 126: 1396-402.

13.Marsico AR, Eaglstein WH, Weinstein GD. Ultraviolet light and tar in the Goeckerman treatment of psoriasis. Arch Dermatol 1976; 112: 1249-50.

14.Fischer T. Comparative treatment of psoriasis with UV-light, trioxsalen plus UV-light, and coal tar plus UV-light. Acta Derm Venereol 1977; 57: 345-50.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-12-21

รูปแบบการอ้างอิง

Kanjanapiboon, K., Kampirapap, K., & Pattamadilok, B. (2018). การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างครีมทาอนุพันธ์น้ำมันดิน 5% ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% และครีมเบส ในการรักษาผู้ป่วยโรคผิวหนังสะเก็ดเงินชนิดผื่นหนา. วารสารโรคผิวหนัง, 34(4), 231–244. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJD/article/view/161550

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ