ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัดเป็นเวลานานในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลลำพูน
บทคัดย่อ
บทนำ: มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้ป่วยเพศหญิง การผ่าตัดเป็นการรักษาหลักของมะเร็งเต้านม ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ ภาวะของเหลวคั่งใต้แผลผ่าตัด (Seroma) การใส่สายระบายใต้ผิวหนัง (Close suction drainage) ในผู้ป่วยที่ทำการผ่าตัด Modified radical mastectomy (MRM) และ Mastectomy ช่วยลด seroma ได้ ทั้งนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเรื่องระยะเวลาที่เหมาะสมในการใส่หรือถอดสายระบาย ผู้ป่วยแต่ละรายใช้เวลาในการใส่สายระบายใต้ผิวหนังที่แตกต่างกัน บางรายสามารถเอาสายระบายออกได้เร็ว จำนวนวันนอนโรงพยาบาลสั้นกว่า ในขณะที่ในผู้ป่วยบางรายต้องใส่สายระบายเป็นเวลานาน นอนโรงพยาบาลนานกว่า การวิจัยนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัดเป็นเวลานานในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดในโรงพยาบาลลำพูน
วิธีการศึกษา: การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบเก็บข้อมูลย้อนหลัง (Retrospective cohort study) โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพศหญิงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่เข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดในโรงพยาบาลลำพูน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 ถึงเดือนธันวาคม 2566 จำนวน 301 ราย โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่สามารถเอาสายระบายออกได้ก่อน 6 วัน (Standard drainage) และกลุ่มที่เอาสายระบายออกหลัง 6 วัน (Prolonged drainage) และหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัดเป็นเวลานาน โดยสมการถดถอยโลจิสติก (Binary Logistic Regression Analysis)
ผลการศึกษา: จากข้อมูลของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมเพศหญิงที่ได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดในโรงพยาบาลลำพูน จำนวน 301 ราย พบว่าอายุเฉลี่ย 59.4 ± 10.4 ปี, BMI 24.1 ± 4.4 kg/m2 ผู้ป่วยโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง,ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน มากน้อยตามลำดับ ระยะของมะเร็งส่วนใหญ่ คือ IIA ส่วนใหญ่ได้รับการผ่าตัดโดยวิธี Modified radical mastectomy (MRM) ร้อยละ 98.6 โดยกลุ่มที่เอาสายระบายออกได้ช้า มีจำนวน 179 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.46 พบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการใส่สายใต้ผิวหนังเป็นเวลานานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ BMI(Adjusted odds ratio (aOR) 2.42, 95% confidence interval (CI) = 1.20-4.90, P = 0.014) , จำนวนต่อมน้ำเหลืองรักแร้ทั้งหมด (aOR 1.30, 95% CI 1.02-1.68, p = 0.033) และ ปริมาณของของเหลวที่ระบายออกหลังการผ่าตัดที่ 48 ชั่วโมง (aOR 1.12, 95% CI 1.07-1.18, p <0.001)
สรุปผลการศึกษา: ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัดเป็นเวลานานในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม คือ BMI, จำนวนต่อมน้ำเหลืองรักแร้ทั้งหมด และปริมาณของของเหลวที่ระบายออกหลังการผ่าตัดที่ 48 ชั่วโมง อาจนำมาปรับใช้เป็นปัจจัยพยากรณ์ในผู้ป่วยที่มีโอกาสเอาสายระบายออกได้ช้า และใช้เพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งเต้านมให้ดียิ่งขึ้น
คำสำคัญ: มะเร็งเต้านม, การใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัด, ระยะเวลาในการใส่สายระบายใต้แผลผ่าตัด, seroma
