ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสตรีตั้งครรภ์ ที่รับบริการในแผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลทั่วไปในจังหวัดเชียงใหม่

บทคัดย่อ

การวิจัยแบบบรรยายภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสตรีตั้งครรภ์ที่รับบริการในแผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลทั่วไปในจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ สตรีตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์ในแผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลทั่วไป ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 380 คน คัดเลือกโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของสตรีตั้งครรภ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน (Spearman Rank Correlation Coefficient) และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient)

ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรู้ (Mean = 18.49, S.D. = 1.53) ทัศนคติ (Mean = 65.32, S.D. = 6.83) และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Mean = 51.91, S.D. = 5.05) อยู่ในระดับดี ตามลำดับ และพบว่า ทัศนคติเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ำกับพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.33, p-value < 0.01) ส่วนความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่มีความสัมพันธ์กับทั้งกับทัศนคติเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ดังนั้นสตรีตั้งครรภ์ที่มีทัศนคติที่ดีในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะส่งผลต่อการมีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดีตามมา จึงควรจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์เกิดทัศนคติที่ดี เพื่อให้สตรีตั้งครรภ์ มีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อที่ถูกต้อง ช่วยลดการเกิดผลกระทบจากโรคที่อาจเกิดกับสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์