พฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรของมารดามุสลิม: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ

Main Article Content

นัจญวา นิยมเดชา
เบญญาภา ธิติมาพงษ์

บทคัดย่อ

          พฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรของมารดามุสลิมยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อการวางแผนครอบครัว เนื่องจากหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่ไม่ส่งเสริมให้คุมกำเนิด หรือหากต้องการคุมกำเนิดจะต้องเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดที่ไม่ขัดกับหลักธรรมชาติ และไม่เป็นการทำลายชีวิต จากความเชื่อทางศาสนาที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้มารดามุสลิมอาจแสดงพฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรที่แตกต่างจากสตรีกลุ่มอื่นๆ การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรของมารดามุสลิม ใช้แนวทางการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบของสถาบันโจแอนนาบริกส์ โดยใช้การสืบค้นข้อมูลจากผลการศึกษาวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ถึง 2561 พบงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรของมารดามุสลิม ทั้งหมด 4 เรื่อง ซึ่งตีพิมพ์ในต่างประเทศในปี พ.ศ. 2545, 2547, 2558 และ 2561 ผ่านคุณสมบัติการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งการศึกษาทั้งหมดเป็นแบบหาความสัมพันธ์เชิงทำนาย ระดับ 4.a จำนวน 3 เรื่อง และ 3.e จำนวน 1 เรื่อง
         ผลการทบทวนวรรณกรรมในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยในด้านต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์หรือส่งผลต่อพฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตร ได้แก่ ปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยด้านความรู้ และปัจจัยด้านการรับรู้ โดยสามารถนำปัจจัยที่ได้ไปศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในการสร้างโปรแกรมที่ส่งเสริมให้มารดามุสลิมมีพฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรที่เหมาะสมยิ่งขึ้น หรืออาจนำปัจจัยเหล่านี้มาศึกษาซ้ำในบริบทของมารดามุสลิมในประเทศไทย เนื่องจากงานวิจัยที่สืบค้นมาทบทวนวรรณกรรมในครั้งนี้เป็นงานวิจัยของต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งบริบทของมารดามุสลิมในต่างประเทศอาจมีความแตกต่างจากมารดามุสลิมในประเทศไทย

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
นิยมเดชา น., & ธิติมาพงษ์ เ. (2020). พฤติกรรมการเว้นช่วงการมีบุตรของมารดามุสลิม: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ. วารสารวิจัยทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ, 40(2), 1–9. สืบค้น จาก https://he02.tci-thaijo.org/index.php/nur-psu/article/view/242758
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Arab Universities Alumni Association Thailand. The Quran Translation in Thai Versions. Saudi Arabia: Fahd King’s Center for Printing the Qur’an; 2000. Thai.

Anlaya S. Thai Muslims family in Pattani during demographic transitions stages. Journal of Humanities and Social Sciences. 2016; 12(1):77-121. Thai.

Anlaya S, Kusol S, Kamolchanok K. Reproductive health of Thai Muslims Pattani: The differences may become marginalized. Journal of Humanities and Social Sciences.2012; 8(1): 185-201.Thai.

Rudee P, Ameporn R. Factors and consequences of repeat pregnancy among teenagers: a case study in Bangkok metropolis. J NURS SCI. 2014; 32(2): 23-31.Thai.

Methawee U, Rattana P, Umphai I, et al. Human behavior and self-development. Bangkok: Suan Dusit; 2003. Thai.

Joanna Briggs Institute. Critical appraisal tool [Internet]. Australia: Faculty of Health and Medical Sciences; 2014 [cited 2019 Jan 5]. Available from https://joannabriggs.org/ critical_appraisal_tools

Achara K, Munlika M. Using the systematic review to provide a complete summary on a research question in evidence-base practice: A 3-step method. SCNJ. 2016; 3(3): 246-59.Thai.

Kridli SA, Schott-Baer D. Jordanian Muslim women’s intention to use oral contraceptives. Res Theory Nurs Pract. 2004; 18(4): 345-56.

Bardaweel SK, Akour AA, Kilani MZ. Current knowledge attitude and patterns of oral contraceptives utilization among women in Jordan. BMC Womens Health. 2015; 15(117): 1-8. doi: 10.1186/s12905-015-0275-1

Budhwani H, Anderson J, Hearld KR. Muslim women’s use of contraception in the United States. Reprod Health. 2018; 15(1): 141-48. doi:10.1186/s12978-017-0439-6

Sriya I. Religion and the decision to use contraception in India. JSSR. 2002; 41(4): 711–22. doi: https://doi.org/10.1111/1468-5906.00156