การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มของแสงสว่างและระดับเสียง จากการวัดโดยเครื่องมือมาตรฐานเปรียบเทียบกับแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ
Main Article Content
บทคัดย่อ
ความเป็นมา ปัจจุบันมีแอพพลิเคชั่นในมือถือสำหรับตรวจความเข้มข้นของแสงและระดับเสียงซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีและใช้งานได้ง่าย วัตถุประสงค์ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าความเข้มของแสงสว่างและระดับเสียงเสียง จากการวัดโดยเครื่องมือมาตรฐานเปรียบเทียบกับแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ วิธีการศึกษา นำผลรายงานการสำรวจสภาพแวดล้อมการทำงาน อาชีวอนามัยเรื่อง แสงและเสียง ซึ่งตรวจวัดความสว่างของสถานที่ปฏิบัติงานโดยใช้เครื่อง Heavy Duty Light Meter และแอพพลิเคชั่น IOS ชื่อ LUX Light Meter และตรวจวัดระดับเสียงโดย Sound Level Meter CEL-430/2 และแอพพลิเคชั่น NIOSH SLM นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงวิเคราะห์ Pearson correlation และ Linear Regression ผลการศึกษา จากการวิเคราะห์ข้อมูล Pearson correlation พบ ว่าค่าความเข้มของแสงสว่างและระดับเสียง จากการวัดโดยเครื่องมือมาตรฐานเปรียบเทียบกับแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือมีความ สัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จากการวิเคราะห์ข้อมูล Linear Regression หาสมการทำนายค่าความเข้มข้นของแสง สว่างจากการใช้แอพพลิเคชั่นมือถือ ได้สมการเส้นตรงดังนี้ ค่าความเข้มข้นของแสงสว่าง เท่ากับ 25.332 + 1 (ระดับเสียงจากการใช้ แอพพลิเคชั่นมือถือ) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และหาสมการทำนายระดับเสียงจากการใช้แอพพลิเคชั่นมือถือ ได้สมการเส้นตรงดังนี้ ระดับเสียง เท่ากับ 0.934 + 0.996 (ระดับเสียงจากการใช้แอพพลิเคชั่นมือถือ) โดยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สรุป สามารถใช้แอพพลิเคชั่นจากมือถือมาใช้วัดแสงได้ในงานระดับหยาบถึงงานละเอียดปานกลางและพื้นที่ทั่วไป และเพื่อความแม่นยำในการหาค่าความเข้มข้นของแสงสว่างควรนำสมการเส้นตรงมาใช้ทำนายค่าความเข้มข้นของแสงสว่างด้วย สามารถใช้แอพพลิเคชั่นจากมือถือมาใช้วัดเสียงได้โดยไม่ต้องใช้สมการเส้นตรงทำนายระดับเสียง โดยค่าที่ได้จากแอพพลิเคชั่นควรใช้ในการตรวจคัดกรองเท่านั้น
Downloads
Article Details
บทความในวารสารนี้อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ กรมแพทย์ทหารบก และเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)
ท่านสามารถอ่านและใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา และทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัย หรือการอ้างอิง โดยต้องให้เครดิตอย่างเหมาะสมแก่ผู้เขียนและวารสาร
ห้ามใช้หรือแก้ไขบทความโดยไม่ได้รับอนุญาต
ข้อความที่ปรากฏในบทความเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น
ผู้เขียนเป็นผู้รับผิดชอบต่อเนื้อหาและความถูกต้องของบทความของตนอย่างเต็มที่
การนำบทความไปเผยแพร่ซ้ำในรูปแบบสาธารณะอื่นใด ต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร
เอกสารอ้างอิง
2. Occupational Noise Exposure [Internet]. Washington, DC: United States Department of Labor; c2014-2018. [updated 2018 May 20]. ที่มา: https://www.osha.gov/SLTC/noisehearingconservation/ healtheffects.html
3. พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 [อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน; 2558 [วันที่อ้างถึง 1 เมษายน 2561]. ที่มา: http:// www.oshthai.org/index.php?option=com_phocadownload&view= section&id=1&Itemid=18
4. สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 จังหวัดราชบุรี กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการตรวจวัดเสียงและการแปลผล. ราชบุรี: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2560.
5. NIOSH Sound Level Meter Application [อินเตอร์เน็ต]. ไทย: NIOSH; 2015 [วันที่อ้างถึง 20 เมษายน 2561]. ที่มา: www.วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ.com/บทความทันโลก%20updat/ทันโลก%20อ.อาทิตยา.pdf
6. แนวปฏิบัติตามกฎกระทรวง. ไทย: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน; 2549 [วันที่อ้างถึง 20 เมษายน 2561]. ที่มา: http://medinfo2.psu.ac.th/commed/ occmed/images/TIS18001/tisp4/law%20Physi/images/law/ practice_illumination.pdf