ผลของการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียง โดยการมีส่วนร่วม ของญาติอำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี
คำสำคัญ:
ผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง, การมีส่วนร่วม, ญาติผู้ดูแล, โปรแกรมการจัดการการดูแลสุขภาพบทคัดย่อ
ผู้สูงอายุมีจำนวนมากและสถิติผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้หรือช่วยเหลือตนเองได้น้อยทำให้มีสถานะภาพติดบ้านติดเตียงเพิ่มสูงขึ้นนั้น หากผู้สูงอายุเหล่านี้ได้รับการดูแลที่ดีก็สามารถดำรงชีวิตได้ดีตามอัตภาพมีสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจดี ไม่ทุกข์ทรมานจากความเสื่อมถอยของร่างกายและไม่เป็นภาระของบุตรหลานผู้ดูแลมาก ผู้วิจัยจึงศึกษาวิจัยผลของการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียงโดยการมีส่วนร่วมของญาติผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียง โดยใช้โปรแกรมจัดการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียง มีวัตถุประสงค์การวิจัย เพื่อเปรียบเทียบความรู้และพฤติกรรมของญาติในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียงระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมก่อนและหลังการทดลอง และเปรียบเทียบสถานะสุขภาพของผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างในการผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงอำเภอนาเยีย จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 92 คนโดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 46 คน ที่ได้จากการคัดเลือกมาทั้งหมดตามจำนวนที่มีและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือโปรแกรมจัดการการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียงเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามความรู้และพฤติกรรม มีค่าความเชื่อมั่น 0.80, 0.81 และแบบประเมินภาวะสุขภาพผู้สูงอายุป่วยเรื้อรังติดบ้านติดเตียง เก็บข้อมูลก่อนและหลังทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired Sample t-test และ Independent t-test
ผลการวิจัยภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนเฉลี่ยของความรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยพบว่าหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงมากกว่ากลุ่มควบคุม 1.04 คะแนน ส่วนระดับความรู้ภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยคะแนนเฉลี่ยภายหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง 1.36 คะแนน คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมของกลุ่มทดลองสูงมากกว่ากลุ่มคบคุม 3.73 คะแนน ส่วนระดับพฤติกรรมกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยคะแนนเฉลี่ยภายหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง 4.23 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบภายในกลุ่มทดลองระหว่างก่อนและหลังการทดลอง พบว่าภาวะพึ่งพารุนแรงหลังการทดลองลดลงจาก 10 ราย เหลือ 6 ราย โดยใน 4 รายนี้ได้เปลี่ยนจากภาวะพึ่งพารุนแรงเป็นพึ่งพาปานกลาง ทำให้หลังการทดลองมีผู้ป่วยมีภาวะสุขภาพดีขึ้น จำนวน 4 ราย
References
ช่อทิพย์ จันทรา. (2559). ปัญหาและความต้องการของผู้ดูแลหลักในการดูแลด้านโภชนาการและการป้องกันการเกิดแผลกดทับ ในผู้สูงอายุติดเตียง. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, 8(3): 41-50.
เชียง เภาชิต. (2559). การพัฒนารูปแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในจังหวัดนครสวรรค์. วารสารสุทธิปริทัศน์, 30(94): 112-127.
ธนัมพร ทองลอง. (2559). ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุในจังหวัดอุดรธานี. อุดรธาน: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. 2559
ประโมทย์ ปราสาทกุล. (2556). ประชากรสูงอายุไทย: ปัจจุบันและอนาคต. เอกสารประมวลสถิติด้านสังคม 1/2558 สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พิศสมัย บุญเลิศและคณะ. (2559) การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียงในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านดงมัน ตำบลสิงห์โคก อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารสำนักงานควบคุมป้องกันโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น. 23(2): 79-87.
ไพบูลย์ พงษ์แสงพันธ์ และยุวดี รอดจากภัย. (2557). การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน. กรุงเทพฯ:สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติงบประมาณแผ่นดิน.
สุรัตน์ ตะภาและคณะ. (2559). การพัฒนาการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล. วารสารการพยาบาลการสาธารณสุขและการศึกษา, 17(1): 109-120.
สุวิทย์ วิบูลย์ผลประเสริฐ. (2540). การศึกษาวิเคราะห์ ความต้องการผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้ ในอีก 2 ทศวรรษหน้า. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย กระทรวง. 20(2).
สุวิมลรัตน์ รอบรู้เจน. (2560). การพัฒนารู้แบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ สำหรับผู้ดูแลผู้สูงอายุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี. วารสาร
มหาวิทยานราธิวาสราชนครินทร์. 9(3): 57-69.
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2560). การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2583. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เดือนตุลาคม.
สำนักงานสถิติจังหวัดอุบลราชธานี. (2560). รายงานสถิติจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2560. อุบลราชธานี: สำนักงานสถิติจังหวัดอุบลราชธานี.
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอนาเยีย. (2560). รายงานผลการดำเนินงานควบคุมโรคไม่ติดต่อสำนักงานสาธารณสุขอำเภอนาเยีย พ.ศ. 2560. อำเภอนาเยีย: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอนาเยีย.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. (2559). คู่มือระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ (Long Term Care) ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ. 2559. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.
ยุวดี รอดจากภัย และคณะ. (2557). รูปแบบการพัฒนาชุมชนและครอบครัวต้นแบบเพื่อดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติงบประมาณแผ่นดิน.
อุไรรัชต์ บุญแท้และคณะ. (2560). สภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุภายใต้การดูแลของเครือข่ายชุมชนร่วมกับครอบครัวเสมือน. วารสาร
การพยาบาลและการดูแลสุขภาพ, 35(3): 175-185.
Best, J. W. (1977). Research in Education. 3rd ed. New Jersey: Prentice hall Inc.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารฯ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากบรรณาธิการวารสารนี้ก่อนเท่านั้น