ผลของโปรแกรมการมีส่วนร่วมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา ต่อความรู้และการรับรู้ความสามารถของผู้ดูแลเด็กวัยปฐมวัย
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เปรียบเทียบความรู้เรื่องพัฒนาการด้านภาษาของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย และ 2) เปรียบเทียบการรับรู้ความสามารถของผู้ดูแลเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมผู้ดูแลเด็กในการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาล่าช้า พัฒนาโปรแกรมฯตามแนวคิดของโคเฮนและอัฟฮอฟ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 21 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 2 ชุด ได้แก่ ชุดที่ 1 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการมีส่วนร่วมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาต่อความรู้และการรับรู้ความสามารถของผู้ดูแลเด็กวัยปฐมวัย ระยะเวลาในการในการเข้าร่วมโปรแกรมฯ 1 ครั้งต่อสัปดาห์รวม 5 สัปดาห์ใช้เวลา ครั้งละประมาณ 60 นาที ชุดที่ 2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้ แบบสอบถามการรับรู้ความสามารถ และแบบสอบถามความพึงพอใจในการมีส่วนร่วมของผู้ดูเด็กในโปรแกรมฯ
ผลการวิจัย พบว่าค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบความรู้ของผู้ดูแลเด็กก่อนเข้าโปรแกรมฯเท่ากับ 8.76+2.49 ภายหลังเข้าร่วมโปรแกรมฯเท่ากับ 11.57+2.71 (p<0.001) และผลการรับรู้ความสามารถของผู้ดูแลเด็กก่อนเข้าโปรแกรมฯเท่ากับ 71.57+16.77 และหลังเข้าโปรแกรมฯเท่ากับ 78.80+13.03 (p=0.13) ผลความพึงพอใจของผู้ดูแลเด็กอยู่ในระดับมากที่สุด (x=4.62) มีข้อเสนอแนะว่าควรนำโปรแกรมฯมาให้บริการในหน่วยพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โดยเน้นผู้ดูแลเด็กปฐมวัย
Article Details
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวชิรสารการพยาบาลถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวชิรสารการพยาบาล ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวชิรสารการพยาบาล หากบุคคลใดหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวชิรสารการพยาบาลก่อนเท่านั้น
References
จุฬาภรณ์ สมใจ. (2546). ภาวะซึมเศร้าของบิดามารดาเด็กพัฒนาการล่าช้า. (พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่).
ทศพร คำผลศิริ, ศิริรัตน์ ปานอุทัย และลินลง ธิบาล. (2553). รายงานการวิจัยการพัฒนารูปแบบการ ดูแลระยะยาวแบบบูรณาการ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนสำหรับผู้สูงอายุที่พึ่งพาคนเอง ไม่ได้. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
นพวรรณ บัวทอง. (2549). อุปสรรคของผู้ดูแลในการปฏิบัติตามโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่มี พัฒนาการช้าในสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จังหวัดเชียงใหม่. (พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่).
นิตยา คชภักดี. (2551). พัฒนาการเด็ก. ใน นิชรา เรืองดารกานนท์, ชาคริยา ธีรเนตร, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย (บรรณาธิการ). ตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก. (น.359-364). กรุงเทพฯ: บริษัท โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด.
นิรชา เรื่องดารกานนท์. (2554). ปัจจัยที่กระทบต่อพัฒนาการของเด็ก. ใน ทิพวรรณ หรรษาคุณาชัย และคณะ (บรรณาธิการ), ตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กสำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ: ชมรมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก.
ประภัสสร ปรี่เอี่ยม และธรรมนูญ รวีผ่อง. (2554). รายงานการวิจัยเรื่องผลการส่งเสริมพัฒนาการ กล้ามเนื้อมัดเล็กสำหรับเด็กพัฒนาการช้าโดยพ่อแม่ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษใน จังหวัดมหาสารคาม บทบาทของพ่อแม่เยี่ยงครู. มหาสารคาม: สถาบันราชภัฎมหาสารคาม.
มูลิธิพัฒนาคนพิการไทย. (2557, มกราคม 31). เด็กไทยไอคิวต่ำฉลาดน้อย สิ่งสำคัญที่ถูกมองข้าม “การลงทุนกับคน”. สืบค้นจาก
http://www.tddf.or.th/research/detail.php?contentid=0113&postid=0008325¤tpage=3
ยุพา สัมฤทธิ์มีผล. (2535). ผลกระทบของวัยรุ่นปัญญาอ่อนต่อพ่อแม่. (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, จิตเวชศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย).
รสริน เอี่ยมยิ่งพานิช. (2539). ภาระในการดูแลและความผาสุกในครอบครัวของมารดาที่มีบุตร ปัญญาอ่อน. (พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพยาบาลเด็ก, มหาวิทยาลัยมหิดล).
รังสินี ผลาภิรมย์, ทัศนี ประสบกิตติคุณ และ กรรณิการ์วิจิตรสุคนธ์. (2553). ผลของ โปรแกรมการสร้าง พลังใจในมารดาต่อการรับรู้สมรรถนะของตนเองในการดูแลเด็กพัฒนาการล่าช้า. วารสาร พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 28(4), 68-75.
วาสนา เกษมสุข. (2545). ความผาสุกของผู้ดูแลเด็กพัฒนาการล่าช้าที่ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ภาคเหนือ. (พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาสุขภาพจิตแลการพยาบาลจิตเวช, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่).
วารีรัตน์ ถาน้อย. (2545). การเจ็บป่วยเรื้อรังแนวทางการช่วยเหลือครอบครัว. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, 16(2), 3-16.
สกาวรัตน์ เทพรักษ์, ภภัสสร มุกดาเกษม, จรรยา สืบนุช และจารุณี จตุรพรเพิ่ม. (2557). การศึกษาด้านการเลี้ยงดูของผู้ปกครองและการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการส่งเสริมการเจริญเติบและพัฒนาการเด็กปฐมวัยในเขตสาธรณสุขที่ 4 และ5. งานอนามัยแม่และเด็ก กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 4 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. สืบค้นจาก
http://hpc4.go.th/rcenter//_fulltext/20140331103024_1551/20140403134122_548.pdf
สุภาวดี ชุ่มจิตต์. (2547). การใช้โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อภาระการดูแลเด็กออทิสติกของบิดามารดา โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์. (พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย).
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2558). สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2558. นนทบุรี: สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข.
Cohen, J. M. & Uphoff, N. T. (1981). Rural development participation: Concepts and measure for project design implementation and evaluation. The Rural Development Committee Center International Studies, Cornell University.
Dunst, C.J. & Triette, C.M. (1996). Empowerment, effective helpgiving practices and family- Centered care. Pediatr Nurs, 22(2), 334-337.
Plant, K.M., & Sanders, M.R. (2007). Predictors of care-givers stress in families of preschool-aged children with developmental disabilities. Journal of Intellectual Disability Research, 51(2), 109-124.
Werker, J.F. & Desjardins, R.N. (2004). Is the integration of head and seen speck mandatory for infants? Developmental Psychobiology, 45(5), 187–203.