THE RELATIONSHIP BETWEEN BASIC CONDITIONING FACTORS, SELF-CARE BEHAVIORS, AND QUALITY OF LIFE AMONG PATIENTS AFTER CORONARY STENT IMPLANTATION

Main Article Content

คัณธารัตน์ จันทร์ศิริ
ดร.พรรณวดี พุธวัฒนะ
ดร.กุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์

Abstract

       The objectives of this descriptive research were to study self-care behaviors and quality of life among patients after coronary stent implantation, and to study the relationship between  basic conditioning factors, self-care behaviors, and quality of life among such patients. This study was based on Orem's theory of self-care. The sample was selected based on a purposive sampling method. They consisted of 74 patients after coronary stent implantation attending the cardiology outpatient department at Maharat Nakhon Ratchasima Hospital. The research instruments consisted of three questionnaires, including general information, quality of life, and self-care behaviors of patients after coronary stent implantation. Data were analysed by using descriptive statistics, Pearson’s correlation, and Spearman rank correlation. 


       The results showed that, overall, the sample had good quality of life and self-care behaviors. Income, duration of having a coronary stent, and self-care behaviors had a significantly positive correlation to quality of life (r = .240, .358, .286, respectively, p<.05). Age and number of co-morbidities did not have a significant correlation with quality of life. The findings can be used as a basic reference to develop self-care among patients after coronary stent implantation.

Article Details

How to Cite
จันทร์ศิริ ค., พุธวัฒนะ ด., & คุววัฒนสัมฤทธิ์ ด. (2018). THE RELATIONSHIP BETWEEN BASIC CONDITIONING FACTORS, SELF-CARE BEHAVIORS, AND QUALITY OF LIFE AMONG PATIENTS AFTER CORONARY STENT IMPLANTATION. Vajira Nursing Journal, 18(1), 12–23. Retrieved from https://he02.tci-thaijo.org/index.php/vnj/article/view/139770
Section
research article

References

กรมควบคุมโรค. (2556). แนวทางปฏิบัติการวินิจฉัยและรักษาโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน. กรุงเทพมหานคร: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
เกรียงไกร เฮงรัศมี. (2556). มาตรฐานการรักษาผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน. นนทบุรี: สถาบันทรวงอก.
ขวัญใจ แจ่มสร้อย. (2548). คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลังได้รับการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดหัวใจ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล).
จิราภรณ์ นาสูงชน. (2551). พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยภายหลังขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและขดลวดโครงตาข่าย. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
จงกณ พงศ์พัฒนจิต และนวรัตน์ สุทธิพงศ์. (2554). การสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ได้รับการขยายหลอดเลือดหัวใจ. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก, 22(2), 58-70.
ทิธตยา แต้ไพบูลย์. (2546). การศึกษาความรู้และการดูแลตนเองเกี่ยวกับยาในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล).
นิตญา ฤทธิ์เพชร. (2556). ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มอาการ การจัดการตนเอง ค่านิยมด้านสุขภาพ ความเข้มแข็งในการมองโลก และคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์, 5(1), 16-34.
ปชาณัฏฐ์ ตันติโกสุม. (2554). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการรับประทานยาในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดในระดับปฐมภูมิ. Pacific Rim, 15(4), 278-287.
ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ และเรวัตร พันธุ์กิ่งทองคำ. (2554). Cardiacemergency ภาวะฉุกเฉินระบบหัวใจและหลอดเลือด (พิมพ์ครั้งที่ 3).กทม: ภาพพิมพ์.
ปิยะมาศ ชาชมพร, (2555). การรับรู้และพฤติกรรมป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยใส่ขดลวดค้ำยัน. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์).
ผ่องพรรณ อรุณแสง ประสบสุข ศรีแสนปาง และบุษบา สมใจวงษ์. (2547). พฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยโรคเอสแอล อี. คณะพยาบาลศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
พัชนีภรณ์ อึ้งรัตนชัย. (2550). ศึกษาถึงผลลัพธ์ของการรักษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันที่ได้รับ
การขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดปฐมภูมิ. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต สาขา
การพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล.
ภัทรสิริ พจมานพงศ์. (2556). พฤติกรรมป้องกันโรคหัวใจกำเริบซ้ำในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหลังการขยายหลอดเลือดหัวใจ. ใน การสัมมนาทางวิชาการเรื่อง การวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมไทย(หน้า 185-194). สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
มณีรัตน์ พราหมณี. (2554). ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล พฤติกรรมการดูแลตนเอง กับคุณภาพชีวิตของมารดาในระยะ 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการผดุงครรภ์ขั้นสูง, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยขอนแก่น).
สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย. (2553). แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับหัตถการรักษาโรคหลอดเลือดโคโรนารี่ผ่านสายสวน(Percutaneous Coronary Intervention, PCI). กทม.
สายฝน จับใจ. (2540). คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล).
สุรีย์ เลขวรรณวิจิตร. (2556). พยาธิวิทยาของโรคหัวใจ. เชียงใหม่:คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สุดใจ บูรณพฤกษา. (2549). พฤติกรรมป้องกันการตีบซ้ำของหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลังการรักษาโดยการขยายหลอดเลือดหัวใจ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสุขศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ).
สมจิต หนุเจริญกุล. (2544). การดูแลตนเอง:ศาสตร์และศิลปะทางการพยาบาล (พิมพ์ครั้งที่ 6).กรุงเทพฯ:
วี.เจ.พริ้นติ้ง.
สมถวิล จินดา. (2551). พฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่มีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์. การศึกษาค้นคว้าแบบอิสระ (วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลผู้ใหญ่, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่).
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. (2558). จำนวนและอัตราตายด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ (I20 - I25) ต่อประชากรแสนคนจำแนกเป็นรายจังหวัด กทม. และภาพรวมของประเทศข้อมูล (ตุลาคม 2557 - กันยายน 2558) ปีงบประมาณ พ.ศ.2558. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2558 จาก http://thaincd.com/information-statistic/non-communicable-disease-data.php
American Heart Association. (2012). Functional Capacity and obj. Assessment of Patients With Diseases of the Heart. Retrieved on May 15, 2014, from http://my.americanheart.org/ professional/StatementsGuidelines/ByTopic/TopicsD-H/Functional-Capacity-and-Obj-Asses sment-of-Patients-With-Diseases-of-the-Heart_UCM_424309_Article.jsp.
Antman, Elliott. M., & Sabitine, Marc. S. (2013).Cardiovascular Therapeutics A Companion to Braunwald’s Heart Disease (4th ed.). China: Elsevier.
Ferrans, C. E. (1992). Conceptualization of life in cardiovascular research. Progress in Cardiovascular Nursing, 7(2), 2-6.
Ferrans, C. E. & Power, M. J. (1998). Quality of life index Cardica Version-IV. Retrieved on August 31 ,2014, from http://www.uic.edu/orgs/qli/questionaires/pdf/cardiacversionIV/cardiac4eng
Orem, D. E. (1985). Nursing: concepts of practice (3nd ed.). New York: McGraw-hill.
Orem, D. E. (1991). Nursing: concepts of practice (4thed.). St. Louis: Mosby Year Book.
Saengsiri, A. (2012). Predicting factors of quality of life among coronary artery disease patiens post percutaneous coronary intervention. Faculty of Graduate Studies, Chulalongkorn University.
Safian, R.D. (1997). Coronary stents, in Freed Mark Grines&Safian, Robert D(ED), Manual of Interventional Cardiology(page 459-518)(3rded). Birmingham: Physicians’Press.
World Health Organization. (2014). WHO Quality of Life-BREF (WHOQOL-BREF). Retrieved on May 31, 2014, from http://www.who.int/substance_abuse/research_tools/ whoqolbref/en/