การเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดหอผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
คำสำคัญ:
นิยามการเฝ้าระวังที่ปรับจากนิยามการติดเชื้อในกระแสเลือดของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติสหรัฐอเมริกา, การติดเชื้อในกระแสเลือด, โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี, ผู้ป่วยวิกฤตบทคัดย่อ
การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นงานที่สำคัญของงานป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล ผลจากการเฝ้าระวังการติดเชื้อพบว่าอัตราการติดเชื้อในกระแสเลือด แม้ว่าจะไม่สูงเท่าอัตราการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจหรือระบบทางเดินปัสสาวะ แต่มีความสัมพันธ์กับอัตราป่วยและอัตราตายสูงกว่า ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบการติดเชื้อทั้งแบบปฐมภูมิ และแบบทุติยภูมิ โดยที่นิยามเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันไม่ได้รายงานการติดเชื้อแบบทุติยภูมิ และมีความไม่ชัดเจนในการระบุการติดเชื้อครั้งใหม่เมื่อพบจุลชีพตัวใหม่ และเนื่องด้วยศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา (Center for Disease Control and Prevention: US-CDC) ได้ปรับคำนิยามการเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2017 โดยได้เปลี่ยนการนับจำนวนชั่วโมงเป็นจำนวนวันซึ่งมีความชัดเจน อีกทั้งมีการปรับคำนิยามเพื่อลดความคลุมเครือให้มีความชัดเจนสะดวกต่อการเฝ้าระวังยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของคำถามงานวิจัยในการศึกษาครั้งนี้ เพื่อศึกษาคำนิยามที่เปลี่ยนไปและอัตราการติดเชื้อในกระแสเลือดระหว่างคำนิยามของ US-CDC 2017 กับคำนิยามที่ใช้ในปัจจุบันเป็นอย่างไร โดยการทบทวนเวชระเบียนย้อนหลัง ในผู้ป่วยที่ส่งเลือดเพาะเชื้อพบเชื้อจุลชีพ และนอนรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤตในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา เลือกเฉพาะผู้ป่วยที่เข้าได้กับนิยามการเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดของ US-CDC 2017 จากนั้นนำผลการศึกษาที่ได้เปรียบเทียบกับข้อมูลการติดเชื้อที่ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอยู่ในปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม 2017 มีผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤตที่ส่งตัวอย่างเลือดและผลเพาะเชื้อพบจุลชีพจำนวน 174 ราย มี 60 ราย (ร้อยละ 34.4) ที่ผลเพาะเชื้อเข้าได้กับนิยามการเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดของ US-CDC 2017 โดยที่ 95% (57/60) เป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด และอีก 5% เป็นการติดเชื้อโดยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลน้อยกว่าเท่ากับ 2 วัน แต่อยู่ในช่วงระยะเวลา 14 วัน ที่เฝ้าระวังเหตุการณ์ตามคำนิยามของ Present on admission (POA) และเมื่อวิเคราะห์ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดทั้งหมดพบอัตราการติดเชื้อ2.4 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน เมื่อจำแนกการติดเชื้อแบบปฐมภูมิ (Primary BSI) พบอัตรา 1.4 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน และแบบทุติยภูมิ (Secondary BSI) 1.0 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน ส่วนการติดเชื้อในกระแสเลือดที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง พบ 2.6 ครั้ง ต่อ 1,000 วันใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง เมื่อเทียบกับข้อมูลการติดเชื้อที่ได้ดำเนินการเฝ้าระวังอยู่ในปัจจุบันจะไม่มีข้อมูลการติดเชื้อ POA และการติดเชื้อแบบทุติยภูมิ โดยพบว่าการติดเชื้อในกระแสเลือดทั้งหมด มีอัตราการติดเชื้อ 0.8 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน ส่วนการติดเชื้อในกระแสเลือดที่สัมพันธ์กับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง พบ 1.2 ครั้งต่อ 1,000 วัน ใส่สายสวนสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง จากผลการศึกษาพบว่าเมื่อเปรียบเทียบอัตราการติดเชื้อ Primary BSI ระหว่างนิยามการเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดของ US-CDC 2017 กับคำนิยามที่ใช้ในปัจจุบัน พบว่านิยามของ US-CDC 2017 มีอัตราการติดเชื้อที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อาจเนื่องมาจากมีความชัดเจนในการวินิจฉัยมากกว่า อีกทั้งวันที่พบการติดเชื้อ ช่วงเวลาในการติดเชื้อครั้งใหม่ที่ตำแหน่งเดิมหรือระยะเวลาองค์ประกอบของการติดเชื้อที่ครบถ้วน ดังนั้น การปรับมาใช้คำนิยามของ US-CDC 2017 น่าจะสะท้อนสถานการณ์การติดเชื้อได้แม่นยำกว่า อีกทั้งสามารถนำไปเทียบเคียงโรงพยาบาลอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
เอกสารอ้างอิง
Rongrungruang Y, Sangsajja C, Editors. Definition and criteria of healthcare associated infection. Nonthaburi: Bamrasnaradura Infectious Diseases Institute; 2013.
Centers for Disease Control and Prevention. National HealthcareSafety Network (NHSN) Patient Safety Component Manual 2017.[ Cited 2017 Oct 05]. Available from: https://www.cdc. gov/nhsn/pdfs/pscmanual/ pcsmanual_current.pdf.
Danchaiwijit S, Sirikawin S, Tanthanathip P, Naksawat K. A practical guideline for hospital disease prevention and control: Bamrasnaradura Infectious Diseases Institute; 2007.
Kovitangkoon K, Putthanachote N, Sangsa N, Kaewmafai C, Sarakran P. Factors associated with bacterial septicemia among patients in intensive care unit, Roi-Et Hospital, Roi-Et province. Srinagarind Medical Journal. 2017; 30 (2).
Ratkom C, Wongmaneerot Keatsak C. Effects of evidence- based practice to reduce bloodstream Infection with associated to central venous cathete. Suan Dok Nursing Journal. 2012; 17: 10-3
Unahalekhaka A, Lueangapapong S, Chitreecheur J. Prevention of drug-resistant in the Intensive care unit 2014. Available from: http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/4265? locale-attribute=th.
Edwards JR, Allen-Bridson K, Gross C, Malpiedi PJ, Peterson KD. National Healthcare Safety Network (NHSN) Report, Data Summary for 2013, Device-associated Module. Am J Infect Control. 2015; 43:206-21.
Dudeck MA, Horan TC, Peterson KD, Bridson KA, Morrell GC, Pollock DA EJ. National Healthcare Safety Network (NHSN) Report, Data Summary for 2009, Device-associated Module 2009. [cited2017/12/25]. Available from:https: //www.cdc.gov/nhsn/pdfs/datastat/2009 nhsnreport.pdf.
Hazamy PA, Haley VB, Tserenpuntsag B, Tsivitis M, Giardina R, Knab R, et al. Effect of 2013 National Healthcare Safety Network definition changes on central line bloodstream infection rates: Am J Infect Control. 2014; 43:280-2.
The committe for making the handbook of the definition and criteria of healthcare associated infection. The handbook of the definition and criteria of healthcare associated infection. Aksorn graphic and design publisher house: Bam-
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการหรือของวารสารกรมการแพทย์