การศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติของแผ่นยางกันน้ำลายถุงมือสำหรับตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์จากน้ำยางธรรมชาติและถุงมือสำหรับตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์จากยางไนไทรล์โดยพิจารณาจากคุณสมบัติทางกายภาพ : ความต้านแรงดึงความยืดและความทนทานต่อการฉีกขาด
คำสำคัญ:
แผ่นยางกันน้ำลาย, ถุงมือการแพทย์ลาเท็กซ์, ถุงมือการแพทย์ไนไทรล์, คุณลักษณะทางกายภาพ, ความต้านแรงดึง, ความยืด, ความต้านแรงฉีกบทคัดย่อ
ภูมิหลัง : การใช้แผ่นยางกันน้ำลายเป็นสิ่งจำเป็นในงาน ทันตกรรม แต่การใช้งานมีข้อจำกัดและเป็นการเพิ่มต้นทุนในการ รักษา เนื่องจากแผ่นยางกันน้ำลายที่นำเข้าจากต่างประเทศเป็นวัสดุ สิ้นเปลือง มีราคาสูง
วัตถุประสงค์ : งานวิจัยนี้ได้ศึกษาความเป็นไป ได้ในการใช้ถุงมือยางสำหรับตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์จากน้ำยาง ธรรมชาติ (ถุงมือยางลาเท็กซ์) และถุงมือยางสำหรับตรวจวินิจฉัย ทางการแพทย์จากน้ำยางสังเคราะห์ชนิดไนไทรล์ (ถุงมือยางไนไทรล์) ซึ่งมีใช้เป็นประจำในแผนกทันตกรรม มาใช้ทดแทนแผ่นยางกัน น้ำลาย โดยทำการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพ คือ ความหนา ความต้านแรงดึง ความยืดเมื่อขาด และความทนทานต่อการฉีก ขาด ของแผ่นยางกันน้ำลาย กับถุงมือยางทางการแพทย์ทั้ง 2 ชนิด
วิธีการ : วิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธี one-way ANOVA ที่ระดับ นัยสำคัญ p-value < 0.05
ผล : พบว่าความหนาของแผ่นยางกันน้ำลายมีค่า (0.190 ± 0.005) mm ถุงมือยางลาเท็กซ์ มีค่า (0.109 ± 0.003) mm และ ถุงมือยางไนไทรล์ มีค่า (0.083 ± 0.004) mm สมบัติความต้านแรงดึงของแผ่นยางกันน้ำลาย มีค่า (41.0 ± 1.9) MPa ถุงมือยางลาเท็กซ์ มีค่า (28.2 ± 1.6) MPa และถุงมือยางไน ไทรล์ มีค่า (33.6 ± 7.0) MPa ความยืดเมื่อขาดของแผ่นยางกัน น้ำลาย มีค่า (858 ± 18)% ถุงมือยางลาเท็กซ์ มีค่า (748 ± 19)% และถุงมือยางไนไทรล์ มีค่า (516 ± 25)% ความทนทานต่อการฉีก ขาดของแผ่นยางกันน้ำลาย มีค่า (31.0 ± 4.6) N/mm ถุงมือยาง ลาเท็กซ์ มีค่า (45.1 ± 5.8) N/mm และถุงมือยางไนไทรล์ มีค่า (7.7 ± 1.4) N/mm ข้อมูลผลการทดสอบทุกชุดมีการแจกแจงแบบปกติ พบว่า สมบัติด้านความหนา ความต้านแรงดึง ความยืด และความ ทนทานต่อการฉีกขาด ของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 มีความแตกต่างอย่าง มีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบสมบัติด้านการใช้งานของถุงมือยางทั้ง สองชนิดกับแผ่นยางกันน้ำลายพบว่าถึงแม้แผ่นกันน้าลายจะมีสมบัติ ความต้าน แรงดึงและความยืดสูงกว่าถุงมือยางทั้ง 2 ชนิด แต่ค่าความ ต้านแรงดึงและความยืดของถุงมือก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากสามารถ ใช้งานในลักษณะแผ่นกันน้ำลายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าถุงมือยาง ลาเท็กซ์มีสมบัติเด่นกว่าแผ่นกันน้ำลายในเรื่องความทนทานต่อการ ฉีกขาด
สรุป : สามารถนำถุงมือยางทางการแพทย์โดยเฉพาะชนิดที่ ทำมาจากยางธรรมชาติมาใช้งานเป็นแผ่นยางกันน้ำลายได้
เอกสารอ้างอิง
Elderton RJ. A modern approach to use of rubber dam. Dent Pract Dent Rec 1971; 21:226-32.
American Academy of Pediatric Dentistry. Guidelines on pulp therapy for primary and young permanent teeth. Pediatric Dentistry 2008; 30: 170-4.
American Association of Endodontists Guide to Clinical Endodontics, 4th ed. Chicago, IL: American Association of Endodontists; 2004.
European Society of Endodontology. Quality guidelines for endodontic treatment: consensus report of the European Society of Endodontology. International Endodontic Journal 2006; 39: 921-30.
Ahmed HMA, Cohen S, Levy G, Steier L, Bukiet F. Rubber dam application in endodontic practice: an update on critical educational and ethical dilemmas. Aust Dent J 2014; 59: 457–63.
Ahmad LA. Rubber dam usage for endodontic treatment: a review. International Endodontic Journal 2009; 42: 963-72.
Budi Aslinie Md Sabri, Nur Hidayah Mohd Radzi, Fatimatuz Zahira Abdul Hadi, Ikmal Hisham Ismail Feasibility of Using Latex Examination Gloves as Dental Dam: A Tensile Strength Study . The Official Journal of The Faculty of Dentistry 2015; 11:6-13.
Timothy A. Svec, John M. Powers, G. David Ladd, Trenholm N. Meyer. Tensile and Tear Properties of Dental Dam. Journal of Endodontics 1996; 22:253-6.
ASTM D412 – 16. Standard Test Methods for Vulcanized Rubber and Thermoplastic Elastomers – Tension; 2016.
ASTM D3578 – 05. Standard Specification for Rubber Examination Gloves; 2015.
ASTM D6319 – 10. Standard Specification for Nitril Examination Gloves for Medical Application; 2015.
ASTM D624 – 00. Standard Test Method for Tear Strength of Conventional Vulcanized Rubber and Thermoplastic Elastomers; 2012. 13. ISO 11193-1. Single-use medical examination gloves-Part1: Specification for gloves made from rubber latex or rubber solution; 2008.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความ ไม่ใช่ความเห็นของกองบรรณาธิการหรือของวารสารกรมการแพทย์